24.2.51

ปาล์ม

อนาคตปาล์มน้ำมัน…อนาคตพลังงานไทย

รัฐบาลไทยมีประกาศเร่งให้ปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ผลิตไบโอดีเซลจึงทำให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการเก็งอนาคตถึงขั้นที่ได้สั่งซื้อเมล็ดปาล์มน้ำมันจากต่างประเทศ(คอสตาริกา) เข้ามาเป็นจำนวนหนึ่งกว่า 10 ล้านเมล็ด และมีเมล็ดที่ผลิตได้ในเมืองไทยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นปาล์มน้ำมันที่คนไทยโดยกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ผลิตขึ้นเอง คาดว่าในปีพ.ศ. 2549 นี้มีต้นกล้าพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่เพาะนอนรอการเพาะปลูกลงดินประมาณ 20 ล้านต้น ซึ่งถ้าปลูกก็จะใช้พื้นที่เกือบๆ 10 ล้านไร่ ทั้งๆที่เรื่องราคาปาล์มน้ำมันยังตกต่ำอยู่แต่ทำไมภาครัฐจึงส่งเสริมให้ปลูกมากขึ้น อันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อน เนื่องจากในประเทศไทยก็มีปาล์มน้ำมันที่ปลูกอยู่แล้วประมาณ 2 ล้านกว่าไร่ แต่เดิมมีการเอาน้ำมันปาล์มมาใช้เพียงอุตสาหกรรมบางประเภทนั่นคือ อุตสาหกรรมน้ำมันพืช อุตสาหกรรมสบู่ และอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยว เมื่อกระทรวงพลังงานเองมีนโยบายชัดเจนว่าจะหาพลังงานทดแทนใช้เองก็เลยมีการคำนวณว่าในแต่ละปี ปริมาณการใช้ไบโอดีเซล ถ้าสมมติใช้เพียง 10% หรือเรียกว่า B10 ก็ถือเป็นปริมาณมหาศาลที่รับรองได้ว่า เนื้อที่ปลูกที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงพอ การขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศ ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบเพื่อเข้าสู่โรงงานทำไบโอดีเซล อย่าว่าแต่การปลูกในประเทศไทยเลย เรายังเล็งไปถึงการปลูกในประเทศเพื่อนบ้าน อันได้แก่ ประเทศลาว เขมร และพม่า ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการใช้น้ำมันที่มาจากบนผิวดินอย่างจริงจัง ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่หลายคนมองว่าอนาคตสดใส แต่หลายคนก็มองตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพันธุ์ การออกดอก การให้น้ำ และสุดท้ายก็คือ ราคาขายจากสวน จะเห็นได้ว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ข่าวดีของปาล์มน้ำมันในเรื่องราคาถึงแม้จะมีให้เห็นตลอด แต่ก็มีข่าวร้ายสลับอยู่เสมอเช่นกัน โดยราคาปาล์มน้ำมันจะตกต่ำอยู่ที่กิโลกรัมละ 1 บาทกว่าๆ ซึ่งพอราคาปาล์มตกต่ำก็จะลงข่าวกันครึกโครม ทำให้ผู้ที่คิดสนใจจะปลูกปาล์มน้ำมันเกิดความลังเลใจ ทั้งๆที่ราคาปาล์มน้ำมันโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่เกินราคาที่เป็นไปได้ที่ 2.50 บาทอยู่ตลอดเวลาก็ตาม เรื่องการปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศไทย ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งถือได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในเรื่องนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าจะมีเรื่องที่น่าคิดบางเรื่อง นั่นคือ ประเทศมาเลเซียมีประชากรน้อยกว่าบ้านเรา มีพื้นที่น้อยกว่าเรา แต่เขาปลูกมากกว่าเราหลายสิบเท่า ทำไมเขาไม่มีปัญหาทั้งๆที่ถ้านับสัดส่วนเทียบกับประเทศไทยแล้วน่าจะเป็นปัญหาใหญ่หลวงของเขา ในโลกนี้มีประเทศที่ปลูกปาล์มน้ำมันเป็นล่ำเป็นสันคือ ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย ในปัจจุบันถ้า 2 ประเทศนี้รวมกันแล้วมีการผลิตน้ำมันปาล์มอยู่ถึง 70-80% โดยเฉพาะอินโดนีเซียเป็นประเทศที่น่าจับตามองมากที่สุด เนื่องจากอินโดนีเซียได้ประกาศออกมาว่าจะเป็นประเทศที่ผลิตปาล์มน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก และยังจะเป็นประเทศที่มีการผลิตไบโอดีเซลมากที่สุดในโลกเช่นกัน ปัจจุบันมีตัวอย่างให้ดูง่ายๆ ก็คือ อินโดนีเซียมีการผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้ประมาณ 13.5 ล้านตัน/ปี เขามีการส่งออกไปยังประเทศต่างๆในโลกเพื่อทำเป็นน้ำมันพืชเป็นส่วนใหญ่ ลูกค้ารายใหญ่ คือ อินเดีย เนเธอร์แลนด์ และจีน ซึ่งเขาใช้ในประเทศอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง แต่ปริมาณการส่งออกปีละ 9 ล้านตัน อินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นประเทศที่อยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร จึงทำให้เรามองว่าปาล์มน้ำมันเป็นพืชเส้นศูนย์สูตร รัฐบาลไทยมีนโยบายขยายพื้นที่เพราะปลูกปาล์มน้ำมันอีกกว่า 10 ล้านไร่ และก็มองหาพื้นที่อยู่แต่บริเวณภาคใต้ แต่ความจริงแล้ว ปาล์มน้ำมันถูกนำไปปลูกยังภาคอื่นๆของประเทศไทยอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก จากทฤษฎีเดิมที่บอกว่า ปาล์มน้ำมันปลูกได้ที่เส้นรุ้งที่ 10 นั้นก็อาจต้องมีการพิสูจน์กันใหม่ ปาล์มน้ำมันที่ปลูกในภาคอื่นของประเทศไทย ก็คงต้องกลับมาคิดว่าเป็นการปลูกเพื่อผลิตวัตถุดิบในการป้อนอุตสาหกรรมพลังงานเท่านั้น ไม่นำไปเกี่ยวข้องกับตลาดบริโภคอื่นๆ
ประเทศไทยมีการทำไบโอดีเซลเป็น B10 จึงหมายถึงน้ำมันที่ใช้น้ำมันดีเซล 90% ผสมกับน้ำมันที่มาจากพืช 10% การผลิตไบโอดีเซลก็คงจะต้องมีอยู่ประมาณ 8.5 ล้านลิตร เพราะเหตุนี้ เราจึงทำให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ถูกจับตามองมากที่สุด การปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยมีอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง แต่ขยายต่อได้หรือไม่ต้องเอ็กซเรย์พื้นที่ให้ดู เพราะในภาคใต้มีพืชอื่นซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากเกษตรกร อันหมายถึง ยางพาราและปาล์มน้ำมัน เป็นพืชร่วมทุกข์ร่วมสุขของเกษตรกรภาคใต้ ส่วนการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคอื่นเป็นเพียงแค่การทดสอบแบบพื้นฐานอยู่บ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะการปลูกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคเหนือ ซึ่งก็ได้ทำการปลูกไปบ้างแล้ว โดยใช้พันธุ์ที่รับรองจากกรมวิชาการเกษตร สำหรับภาคเหนือมีแปลงวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงาน และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่สถานีวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน โดยสภาพทางภูมิศาสตร์แล้วแปลงวิจัยนี้ตั้งอยู่ในระดับเส้นรุ้งที่ 18.3 ซึ่งเป็นการทดสอบนอกพื้นที่ที่สูงที่สุด ผลงานวิจัยมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อเป็นคำตอบให้กับเกษตรกรในการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคเหนือ งานวิจัยชิ้นนี้เป็นเพียงการทดสอบปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคเหนือ คนวิจัยไม่ได้เป็นผู้ให้คำตอบ ต้นปาล์มน้ำมันต่างหากจะเป็นผู้ให้คำตอบ สำหรับกล้าพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่เพาะได้จะแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรโดยตรง ส่วนเรื่องที่ว่าปลูกแล้วจะให้ลูกหรือไม่ ออกดอกตัวเมียหรือดอกตัวผู้ ขอให้เป็นคำตอบที่ได้จากของจริง นั่นคือ ต้นปาล์มน้ำมัน อีกไม่นานคงมีคำตอบให้แก่เกษตรกร แต่ที่แน่ๆคือ เริ่มมีคำตอบออกมาบ้างแล้ว
การปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่อื่นนอกเหนือภาคใต้นั้น ถึงแม้จะเป็นการสวนทฤษฎี แต่มันจำเป็นต้องทำ สถานการณ์ล่าสุด คือ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือปลูกกันมาหลายปีแล้ว ในรูปของงานวิจัย ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกปาล์มน้ำมัน ผลจากการทดสอบก็เป็นที่น่าพอใจ มีความเป็นไปได้ทีจะปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันที่ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมัน จังหวัดหนองคาย ได้มีการเพาะเมล็ดปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพันธุ์ที่รับรองโดยกรมวิชาการเกษตร อยู่เกือบล้านต้น ถ้าปลูกลงดินแล้ว นั่นหมายถึง ทรัพยากรที่มีคุณค่า เป็นผลผลิตที่ช่วยเหลือประเทศชาติได้โดยตรง นั่นคือ การผลิตพลังงานทดแทนขึ้นเพื่อใช้เอง อีกไม่นานคงได้เห็นต้นปาล์มน้ำมันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ที่ปลูกโดยเกษตรกร คงจะมีการคำนวณ บวก ลบ คูณ หารถึงความแตกต่างของผลผลิตที่ได้ในภาคต่างๆเหล่านี้เปรียบเทียบกับที่ผลิตได้ในภาคใต้ ซึ่งก็คงจะไม่เท่ากับในภาคใต้ กระบวนการแปรรูปคงต้องปรับให้เข้ากับพื้นที่ปลูก และที่สำคัญก็คือ ผลผลิตที่ได้นั้นเป้าหมายก็คือ น้ำมัน ซึ่งคงจะไม่ไปอยู่แค่ในตลาดน้ำมันพืชเท่านั้น การใช้น้ำมันไบโอดีเซล 8.5 ล้านลิตรต่อวัน เป็นตัวเลขที่เป็นโจทย์สำคัญในการที่จะผลิตและบริโภค จุดที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ การทำวัตถุดิบ ซึ่งถ้าไม่ทำการปลูกปาล์มน้ำมัน แล้วเราจะเอาวัตถุดิบจากที่ไหน...ใครช่วยบอกที ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจ ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ให้น้ำมันมหาศาล อนาคตไบโอดีเซลไทย คงต้องถูกวางไว้อยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ สนใจรายละเอียดคลิก thaiodiesel.com


โดย ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงศ์
http://www.kasetcity.com/Worldag/view.asp?id=317

ไม่มีความคิดเห็น: