“ดิน” ทรัพยากรที่มีค่ามากกว่าทอง จริงหรือ
ปัจจัยที่ใช้ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร และเครื่องอุปโภคสิ่งต่างๆเหล่านี้ ถ้าจะพูดกันให้เข้าใจก็คือ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยความผาสุก หนึ่งในปัจจัยที่ถูกมองข้ามมาตลอด และมีความสำคัญไม่น้อยกว่าปัจจัยอื่นๆก็คือ “ดิน” มนุษย์ต้องอาศัยดินทั้งทางตรง และทางอ้อม ดินจัดเป็นแหล่งกำเนิดพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ใช้ในการเจริญเติบโต แล้วมนุษย์ก็นำพืชมาใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภค ในแต่ละวินาทีที่พืชเจริญเติบโตก็อาศัย “ดิน” นี่แหละเป็นปัจจัยพื้นฐาน การที่ประเทศชาติมีดินที่มีคุณภาพ ก็จะทำให้พืชผลทางการเกษตรเจริญงอกงาม ประเทศไทยเราเป็นประเทศเกษตร เพราะฉะนั้นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือ เรื่องของความสำคัญของดินต่อความเป็นอยู่ของคนไทย เกือบกล่าวได้เต็มปากว่า โดยภูมิประเทศแล้ว ประเทศไทยเรามีดินเป็นทรัพยากรที่ดีที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในโลก จนกระทั่งเป็นความจริงที่ว่า หากมีการปลูกหรือหยอดเมล็ดพันธุ์พืชชนิดใดลงไปในดินเมืองไทยแล้วก็จะเจริญเติบโตดีให้ผลผลิตมีคุณภาพ ที่เห็นอยู่ชัดๆก็คือ เรามีการปลูกข้าวพันธุ์ดี แล้วให้ผลผลิตดี ก็เพราะเรามีดินดี ไทยเราเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดอันดับหนึ่งของโลก เพราะคนต่างชาติก็ชอบข้าวไทย เพราะเห็นว่ากินอร่อย ถูกปาก ถูกคอ ถูกใจ อันนี้นอกจากจะยกความดีให้ฝีมือเกษตรกรไทย ฝีมือธรรมชาติ ลมฟ้าอากาศแล้ว ยังต้องชื่นชมกับดินที่มีคุณภาพดีของเมืองไทยด้วย การทำการเกษตรอาศัยดินเป็นหลัก ถ้าอย่างอื่นดีหมดแต่ดินไม่ดีก็ไปไม่รอด เชื่อหรือไม่ว่าดินในเมืองไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน ได้ถูกทำลายไปอย่างน่าเสียดาย โดยกระบวนการตามธรรมชาติและฝีมือมนุษย์ล้วนๆ การสูญเสียดินที่เรียกว่าดินสมบูรณ์หรือหน้าดินจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ามหาศาล ถ้ายังถูกทำลายแบบนี้ต่อไป รุ่นลูกรุ่นหลานก็อาจต้องซื้อข้าวเขากิน การเกษตรก็อาจถึงจุดอวสาน อาหารการกินขาดแคลน เรื่องของการช่วยชะลอหรือลดการสูญเสียคุณสมบัติดีๆของดิน เป็นหน้าที่ของเกษตรกร เป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยทุกคน ทำอย่างไรจึงจะอนุรักษ์พิทักษ์ดินให้ยั่งยืนถาวร เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ดินอุดมสมบูรณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร
ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ชี้ชัดว่าดินเกิดขึ้นมาบนผิวโลกนั้น ความจริงแล้วกว่าจะได้มาซึ่งหน้าดินเพียง 1 เซนติเมตร ก็อาจต้องใช้เวลาเป็นร้อยเป็นพันปี การกำเนิดดินเกิดจากการที่แร่ธาตุหรือหินมีการสลายตัวทางเคมี ฟิสิกส์ และชีวเคมี โดยที่แร่ธาตุต้นกำเนิดจะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์และสิ่งที่มีชีวิต ผสมคลุกเคล้ากับซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถมกันมาเป็นเวลานานแล้วทำให้เกิดเป็นเนื้อดินขึ้น การกำเนิดของดินแต่ละเซนติเมตรจึงนับได้ว่า นอกจากจะใช้เวลาอันยาวนานแล้วยังจำเป็นต้องอาศัยธรรมชาติรวมทั้งสิ่งที่มีชีวิต พวกจุลินทรีย์และสัตว์ต่างๆ แหล่งกำเนิดของดินที่มีคุณสมบัติต่างๆกันก็จะทำให้ดินมีคุณภาพต่างกัน การสลายตัวผุพังของหินแร่ธาตุจะใช้เวลายาวนานมาก จึงจะได้องค์ประกอบทีเรียกว่า “ดิน” ขึ้นมา โดยทั่วไปแล้ว ดินที่ถูกเรียกว่าดิน จะประกอบไปด้วย 4 ส่วนสำคัญ นั้นคือ อินทรียวัตถุ อนินทรียวัตถุ น้ำ และอากาศ โดยจะมีสัดส่วนของอินทรียวัตถุ ซึ่งเกิดจากการเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวของเศษเหลือของพืชและซากสัตว์ประมาณ 5% อนินทรียวัตถุ เป็นแร่ธาตุที่อยู่ในดินจะมีประมาณ 45% ส่วนน้ำและอากาศจะมีประมาณอย่างละ 25% แร่ธาตุที่เป็นต้นกำเนิดสำคัญของดินก็จะประกอบไปด้วย แร่ประกอบหิน ได้แก่ ควอร์ตซ์ เฟลด์สปาร์ ไมกา โอลิอีน ไพรอกซิน และแอมพิโบล ส่วนหินจะประกอบไปด้วยแร่หลายชนิด เช่น หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร
คุณสมบัติที่สำคัญของดินอีกอย่างหนึ่งที่เกษตรกรต้องให้ความสนใจมากหรือที่เรียกว่าคุณสมบัติพื้นฐานเลยก็ว่าได้ นั่นคือ เนื้อดิน เนื้อดินนั้นจะมีสัดส่วนของดินเหนียว ดินทรายและทรายแป้ง ซึ่งถ้ามีส่วนใดส่วนหนึ่งมากก็จะเป็นเนื้อดินประเภทนั้น โดยทั่วไปเราก็จัดดินออกเป็นหลายกลุ่มอันได้แก่ ดินเหนียว ดินร่วน ดินทรายเป็นอย่างไร หรือจะรู้ว่าดินของตัวเอง เป็นดินอะไร วิธีการง่ายๆก็คือ ลองปั้นเป็นก้อน ถ้าเป็นดินเหนียวจะกลึงเป็นเส้นยาว เหนียวติดมือ ดินเหนียวเป็นดินเกษตรที่มีการระบายน้ำและอากาศไม่ดี แต่มีความอุ้มน้ำดี จึงมีความสามารถที่จะเก็บน้ำได้นาน ดินเหนียวในประเทศไทยจึงเป็นดินที่เหมาะในการปลูกข้าว ดินร่วนเป็นดินที่มีเนื้อดินค่อนข้างละเอียด เมื่อปั้นเป็นก้อนจะนุ่มมือ ยืดหยุ่นได้บ้าง มีการระบายน้ำดีปานกลาง ดินร่วนนี่แหละเป็นดินในความต้องการของเกษตรกรเพราะเหมาะสมต่อการปลูกพืชอย่างมาก ดินทรายเป็นดินระบายน้ำดี อากาศถ่ายเทดี แต่มีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ทั้งนี้ก็เพราะว่าดินทรายมีการจับหรือดูดยึดธาตุอาหารน้อยมาก พืชที่ขึ้นบนดินทรายไม่ดี ก็คือ พืชที่มีหัวใต้ดิน โดยทั่วไปแล้ว การดูดินที่สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์นั้นจะต้องดูพื้นที่หน้าตัดลงไปในส่วนลึก ถ้ามีชั้นบนที่เป็นอินทรียวัตถุมากๆ ก็จะถือได้ว่า เป็นดินที่ดี โดยปกติแล้วเปลือกโลกที่ไม่มีการทำลาย และอาศัยธรรมชาติอันยาวนานก็จะมีชั้นหน้าดินลึก 6-12 นิ้ว ซึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้ว หน้าดินจะเกิดจากการทับถมของเศษซากพืช ซากสัตว์ ดินชั้นบนเป็นดินที่พืชอาศัยในการเจริญเติบโตมากที่สุด เพราะดินชั้นบนหรือผิวดินจะมีทั้งแร่ธาตุอาหารและอินทรียวัตถุอย่างมาก
ถ้าจะสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าดินแต่ละแห่งจะมีหน้าดินที่มีสีแตกต่างกัน สีของดินจะเป็นตัวชี้วัดได้ว่า ดินของเรามีความสมบูรณ์เพียงใด ถ้าดินสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ จะถือได้ว่า เป็นดินที่มีอินทรียวัตถุมากแร่ธาตุต้นกำเนิดจะมาจากหินภูเขาไฟ นอกจากนี้ยังมีดินสีขาว สีเทาอ่อน สีเหลืองหรือดินสีแดง ซึ่งดินสีเหลืองหรือแดง นี้จะมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก
ช่องว่างระหว่างดิน พูดจริงๆก็คือ ความพรุนของดิน จะมีความสำคัญต่อพืชเช่นกัน เพราะความพรุนของดินจะทำให้เกิดการมีช่องว่างในการเก็บน้ำและอากาศ ดินพรุนก็จะมีอากาศและน้ำมาก น้ำที่อยู่ในดินก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะต้นไม้ต้องการน้ำ ดินที่เก็บน้ำได้ดีจะเป็นดินที่พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี คุณสมบัติของดินอีกอย่างหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ ความเป็นกรด-ด่างของดินหรือที่เรียกว่า pH ซึ่งโดยปกติค่า pH จะมีตั้งแต่ 1-14 ถ้าดินเป็นกลาง pH จะเท่ากับ 7 แต่ถ้าต่ำกว่า 7 ถือว่าเป็นกรด สูงกว่า 7 ถือว่าเป็นด่าง การเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งพืชแต่ละชนิดก็อาจชอบความเป็นกรด-ด่างของดินที่แตกต่างกันออกไป การจะรู้ว่าดินเป็นกรด-ด่างมากเพียงใด สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การทดสอบด้วยเครื่องตรวจภาคสนาม ซึ่งใช้เวลาสั้น ส่วนผลการทดสอบอาจจะหยาบ ส่วนการทดสอบในห้องปฏิบัติการได้ผลแม่นยำ แต่ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่าย ข้อสำคัญก็คือ เมื่อเกษตรกรรู้ว่า ดินของเราเป็นกรด-ด่างแล้ว จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร ในการแก้ไข ที่สำคัญก็คือ ถ้าหากมีการแก้ความเป็นกรดโดยใช้ปูนขาว ถามว่าจะใช้เท่าไร เป็นเรื่องที่เกษตรกรต้องทราบ
ดินดี –ไม่ดีรู้ได้ไง?
การจะกำหนดว่าดินดีหรือไม่ดีจะต้องตรวจสอบคุณสมบัติ ถ้าจะดูสภาพทั่วไปจากการเจริญเติบโตของพืช ก็พอพูดได้ แต่จะให้รู้ลึกถึงคุณสมบัติของดินที่จะปลูกพืช และการแก้ไขปรับปรุงจะต้องมีการตรวจสอบหรือวิเคราะห์ การวิเคราะห์ก็ถือเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการให้คำแนะนำ การวิเคราะห์ดินจะแม่นยำหรือไม่แม่นยำเพียงใดก็มีความสำคัญ แต่ที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่านี้ คือ การเก็บตัวอย่างดิน เพื่อส่งวิเคราะห์ ในปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐ ให้บริการฟรีในการตรวจสอบ วิเคราะห์คุณภาพดินอย่างละเอียด แต่หน่วยงานต่างๆ ไม่สามารถที่จะทำการเก็บตัวอย่างดินจากฟาร์มของเกษตรกรได้ทุกฟาร์ม เกษตรกรจึงมีความจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างเองแล้วส่งวิเคราะห์ การวิเคราะห์ดินก็จะเป็นการตรวจในเรื่องของปริมาณธาตุอาหารเนื้อดิน ความเป็นกรด-ด่างของดินเพื่อที่จะให้ทราบถึงปริมาณปุ๋ยที่จะต้องใส่ให้เพียงพอแก่การเจริญเติบโต ของพืชแต่ละชนิดที่เกษตรกรจะปลูก อันจะเป็นการเพิ่มผลผลิตและรายได้ของเกษตรกร การเก็บตัวอย่างดินที่ถูกต้องควรคำนึงถึงว่า ดินที่เก็บมานั้นจะต้องเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของดินแปลงนั้น หลักการสำคัญก็คือ ควรเก็บดินหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วหรือก่อนการเตรียมการเพื่อทำการปลูกพืชในครั้งต่อไป พื้นที่เก็บตัวอย่างดินไม่ควรเปียกหรือแฉะ มีน้ำท่วมขัง ไม่เก็บตัวอย่างดินบริเวณที่เคยเป็นบ้านหรือโรงเรียนเก่า อุปกรณ์ที่ใช้เก็บต้องสะอาด ไม่มีสิ่งปะปน ที่สำคัญที่สุดคือต้องบันทึกรายละเอียดในการเก็บให้มากที่สุด จำนวนตัวอย่างดินขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่และลักษณะของพื้นที่ ในพื้นที่ 50 ไร่ ถ้าเป็นสภาพที่สม่ำเสมอก็อาจเก็บให้ได้ 1 ตัวอย่าง การเก็บให้ได้ 1 ตัวอย่าง ต้องสุ่มเก็บให้ครอบคลุมทั่วทั้งแปลงจากจำนวนจุดอย่างน้อย 15 -20 จุด แล้วมาผสมคลุกเคล้าให้ดี ตากในที่ร่มให้แห้ง แล้วส่งวิเคราะห์ซึ่งผู้ที่จะสามารถวิเคราะห์ได้ คือ สถานีพัฒนาที่ดิน ของกรมพัฒนาที่ดิน เมื่อส่งวิเคราะห์แล้ว จะได้ผลในการตรวจสอบพร้อมคำแนะนำในการใส่ปุ๋ย ใส่ปูน หรือปรับปรุงดินโดยวิธีการต่างๆ
ดินดีหรือดินไม่ดีของเมืองไทย
ประเทศไทยส่วนใหญ่มีดินที่ถูกจัดว่ามีคุณสมบัติยอดเยี่ยมในการปลูกพืชมากมายก็จริง แต่จะมีดินบางพวกที่เป็นปัญหาต่อการเพาะปลูก อุปสรรคต่อการเจริญเติบโต ถ้ารุนแรงมากคงทำให้พืชตายได้ หลายคนคงได้ยินที่มีคนพูดว่า ดินกรด ดินด่าง และดินเกลือ ดินกรด จัดเป็นดินที่มีปริมาณประจุบวก ที่แลกเปลี่ยนได้เป็นจำนวนมาก ดินกรดจะเป็นดินที่ pH ต่ำกว่า 7 อย่างมาก เราอาจจัดดินกรดออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ดินกรดธรรมดา ดินกรดจัด และดินพรุ วิธีการแก้ไขก็คงต้องทำถ้าหากต้องการปลูกพืชจริง การควบคุมแก้ไขมีหลายอย่าง อันได้แก่ การใส่ปูน การควบคุมระดับน้ำในประเทศไทยเรานี้ มีดินที่มี pH 6.0-6.5 ประมาณ 33.33% ของทั้งประเทศ ดินเค็มคือดินที่มีเกลือละลายอยู่ในดินเป็นจำนวนมากเกินไป จนทำให้มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของพืชซึ่งเกิดจากการที่พืชขาดน้ำและมีการสะสมประจุที่เป็นพิษต่อพืชมากเกินไป ทำให้สมดุลของธาตุอาหารเสียหาย ดินเค็มในประเทศไทยมี 2 พวก คือดินเค็มบก และดินเค็มชายทะเล สาเหตุของดินเค็มก็เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดของดินและการกระทำของมนุษย์ เช่น การทำนาเกลือ โดยวิธีการสูบน้ำเค็มขึ้นมาตาก วิธีการแก้ไขจัดการดินเค็มก็คือ การใช้กระบวนการทางวิศวกรรม การใช้กระบวนการทางชีววิทยา เช่น การปลูกพืช และวิธีการผสมผสาน
สิ่งที่มีชีวิตในดินก็ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ดินดีหรือไม่ดี ในดินจะต้องมีสิ่งมีชีวิตและมีเป็นจำนวนมากเสียด้วย สัตว์ที่อยู่ในดินที่มองเห็นด้วยตาเปล่า และสัตว์ขนาดเล็กที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ในดินจะมีจุลินทรีย์ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา และจุลินทรีย์อื่นๆเป็นจำนวนมาก
ธาตุอาหารในดินก็จัดเป็นคุณสมบัติของดินที่จะบ่งชี้ว่าจะเป็นดินดีหรือไม่ดีเช่นกัน พืชต้องการธาตุอาหารอย่างน้อย 16 ธาตุ เพื่อการเจริญเติบโต แต่ธาตุอาหารที่สำคัญที่เป็นหลักใหญ่ในการเจริญเติบโตของพืชก็คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ทั้ง 3 แร่ธาตุนี้พืชดูดใช้มากจนทำให้อาจเกิดความไม่เพียงพอต่อการปลูกพืชแต่ละครั้ง จนต้องมีการใส่ลงไปในดินเพิ่มเติม
การอนุรักษ์ดินหน้าที่ใคร?
คงไม่มีใครเถียงได้ว่าปัจจุบันในประเทศไทย ซึ่งเกษตรกรทำการเกษตรมาช้านาน มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนทำให้เราสูญเสียทรัพยากรดินไปในแต่ละปี หน้าดินถูกทำลาย ถูกชะล้างลงแม่น้ำลำคลอง อันจะเป็นการทำให้เกิดความไม่สมบูรณ์ของดินในพื้นที่เดิม ตัวการสำคัญที่ทำลายดิน นอกจากจะเป็นสาเหตุตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์ก็จัดเป็นพวกที่ทำลายทรัพยากรดินมากที่สุด การแก้ไขปรับปรุงพัฒนาเพื่อจะลดการสูญเสียทรัพยากรดินจากประเทศไทย เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ การปลูกพืช เพื่อให้ได้ผลผลิตเป็นชั่วครั้งชั่วคราวจนทำให้มีรายได้เป็นเงินเป็นทองแบบชั่วครั้งชั่วคราว แต่อาจทำให้เกิดผลกระทบระยะยาว พืชปลูกไม่เจริญเติบโต อันนี้ถือได้ว่าเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างตั้งใจ การตัดไม้ทำลายป่ายังเป็นสาเหตุหนึ่งที่พูดกันยังไม่จบ ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรดินอย่างมากมายมหาศาล เกษตรกรไทยมีอยู่ 20-30 ล้านคน ก็เป็นบุคคลที่จะต้องให้ความสำคัญ และปฏิบัติเพื่ออนุรักษ์หน้าดินโดยตรง ไม่เพียงแต่ว่าจะปลูกพืชให้งอกงามอย่างเดียว จะต้องรักษาหน้าดินอย่างยั่งยืนต่อไป ส่วนประชาชนทั้งประเทศก็อาจต้องกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมที่ผลักดันให้สูญเสียหน้าดินที่สมบูรณ์ได้ชะลอจุดอวสานลงได้ ก็จะช่วยยืดหยุ่น การกินดี อยู่ดี ของคนไทยต่อไปได้อีก เรื่องของการอนุรักษ์หน้าดิน ถ้าจะถามว่า เป็นหน้าที่ใคร ตอบได้เลยว่า เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของคนไทยทุกคน
โดย ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงศ์
http://www.kasetcity.com/Worldag/view.asp?id=308
24.2.51
ดิน
เขียนโดย
GMan572
ที่
11:58
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น