1.4.51

โรงเรียนอัจฉริยะ

โรงเรียนอัจฉริยะ ผลการศึกษาที่ดี เปรียบเสมือนการลงทุนปลูกต้นไม้ใหญ่


ผลการศึกษาที่ดี เปรียบเสมือนการลงทุนปลูกต้นไม้ใหญ่ แก่นแข็ง ที่ไม่อาจเห็นผลในเวลาอันรวดเร็วไม่สามารถ วัดออก
มาเป็นตัวเลขได้ โรงเรียนที่ดีควรเตรียมให้เด็กบริหารชีวิตให้เป็นในโลกที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ในโลกที่ปลอดภัยเหมือน
ในบ้านหรือในโรงเรียนที่โรงเรียนวนิษา เราเชื่อมั่นว่า " วันนี้เราประสบความสำเร็จในการสร้างมนุษย์ที่สามารถอยู่ในโลก
นี้ได้อย่างสง่างามด้วยความคิดและความสามารถในระดับสากล".



ในสมัยก่อน...ก่อนที่งานวิจัยทางสมองจะก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบันคนมักมีความเชื่อว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่เรามีติด
ตัว มาตั้งแต่กำเนิดใครเกิดมาด้วยไอคิวเท่าไร ก็จะจากโลกนี้ไปด้วยไอคิวเท่านั้น ด้วยแนวคิด และความเชื่อแบบนี้จึง
เกิดความคิดในการทดสอบไอคิวขึ้น กลายเป็นข้อสอบที่มีมาตรวัดด้านคณิตศาสตร์และภาษาในบางครั้งอาจมีด้าน
ตรรกะร่วมด้วย เมื่อเวลาผ่านไป จึงกลายเป็นความเชื่อว่า อัจฉริยภาพมีเพียงด้านคณิตศาสตร์และภาษาเท่านั้น.
รับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โรงเรียนวนิษา
หมู่บ้านนฐดา 63/290 คลอง 2
ถนนรังสิต-นครนายก ประชาธิปัตย์ ธัญบุรี ปทุมธานี
โทร. 0-2549-8688 - 89, 0-2549-8691
โทรสาร 0-2549-8700

www.vanessa.ac.th
contact@vanessa.ac.th
การสอนแบบ Project Approach คือการสืบค้นข้อมูลในด้านลึก ตามหัวข้อที่เด็กสนใจ จุดเด่นของการเรียนนี้คือ การพยายามค้นหาคำตอบ จากคำถามที่เกี่ยวกับหัวเรื่อง ไม่ว่าคำถามนั้นจะมาจากเด็ก หรือครูก็ตาม





เรียนแบบ Project Approach ที่โรงเรียนวนิษา

สาวในชุดกี่เพ้าสีแดง คอปกสูงแขนกุด นั่งเป็นจุดรวมสายตาอยู่หน้าห้อง ในมือถือหัวสิงโตประดิษฐ์ประกอบการเล่านิทาน ห้องเยื้องๆกัน สาวหนึ่งห่มส่าหรีสีแดง อีกสาวห่มสีเขียวหน้าผากแต้มสีแดง มีห่วงโซ่สีทองห้อยระยางจากจมูกถึงหู พูดคุยยิ้มหัวกับเด็กน้อย ห้องติดกัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อวดแฟชั่นเสื้อหนาวกันทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าว

ถ้าไม่มีป้ายข้างหน้าทางเข้าบอกว่า นี่คือ "โรงเรียนวนิษา" หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่านี่คือห้องเรียน เพราะไม่มีใครนุ่งชุดนักเรียน กระโปรงแดง ปักอักษรย่อ ไม่มีกระดานดำ ไม่มีรอยชอล์กเขียน ก ไก่ ข ไข่ ตัวโต จะมีแต่ห้องที่ประดับประดาด้วยวัสดุต่างๆ สีสันสดใส ครูและเด็กแต่งกายตามสบาย ก็ไม่ถือว่าผิดระเบียบ เพราะโรงเรียนนี้ให้เสรีภาพทางความคิดตราบใดที่ไม่ไปกระทบกระเทือนสิทธิผู้อื่น

ไม่เชื่อมั่นระบบการศึกษาไทย

ความผิดหวัง ได้ช่วยผลักดันไห้เกิดโรงเรียนวนิษาขึ้นเมื่อ 19 ปีที่แล้ว ชุมศรี รักษ์วนิชพงศ์ อาจารย์ใหญ่ และผู้ก่อตั้งโรงเรียน ออกตัวว่า อาจเป็นพื้นฐานการศึกษาในด้านวรรณคดีอังกฤษ ที่สอนให้คนวิเคราะห์มองเห็นความระหว่างบรรทัด และแง่มุมพิเศษ เธอจึงมักมีมุมมอง แตกต่างจากผู้อื่น ถ้าจะเรียกว่ามีความคิด "ขบถ" คงไม่ผิดนัก และแน่นอนเธอมีความคิดขบถต่อการศึกษาไทย

"ดิฉันไม่เชื่อวิธีทีโรงเรียนส่วนใหญ่ทำอยู่ จับเด็กมาขังในคอก ไม่อยากจะใช้คำนี้ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บังคับเด็กมานั่งๆ จำกัดศักยภาพการเติบโตของสมอง" โรงเรียนอนุบาลในมโนภาพของเธอ น่าจะเป็น ที่ที่เด็กได้เล่นอย่างสนุกสนาน พร้อบกับได้เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ แต่โรงเรียนในเมืองกรุงส่วนใหญ่ที่พบมา ต้องบังคับจับเด็กมานั่งคัดตัวอักษร ท่องตัวเลข

ในช่วงที่หาโรงเรียนให้บุตรสาวอาจารย์ชุมศรีต้องตระเวนเปลี่ยนโรงเรียนมากกว่า 20 แห่งภายในปีเดียว สุดท้ายจึงตัดสินใจสอน "หนูดี" ลูกสาวคนโตด้วยตัวเอง โดยมีกลุ่มเพื่อนที่สนิทชิดเชื้อและไว้วางใจอีก 4-5 คน มาร่วมทำโรงเรียนอนุบาล โดยพ่อแม่ก็ร่วมเป็นครูด้วย ตอนนั้นคิดว่าในปีถัดไปก็จะยุบชั้นอนุบาล1 และเปิดสอนชั้นอนุบาล2 และหยุดไว้เพียงแค่นั้น

แต่แล้ว เธอต้องขยายชั้นเรียนระดับประถม เพราะเริ่มมีคนสนใจการเรียนการสอนของวนิษา พาลูกมาฝากฝังให้ดูแล ประกอบกับเห็นว่า เวลาเพียง 3-4 ปี ยังไม่สามารถสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับพ่อแม่ เธอปวดแปลบเมื่อเห็นผิวบางของหนูน้อยในโรงเรียนคนหนึ่ง ขึ้นนูนเป็นรอยไม้ เธอจึงคิดว่าเธอต้องการให้ทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกันถึงความสำคัญของ "เด็ก" รวมถึงไม่ต้องการเห็นนักเรียนของเธอ ที่ผ่านการเรียนมาในรูปแบบเตรียมความพร้อม ต้องถูกเคี่ยวเข็ญ เร่งเรียน เมื่อไปสมัครเรียนต่อโรงเรียนอื่น

เรียนแบบ Project Approach

นับแต่เปิดสอนในยุคแรก การเรียนในชั้นอนุบาลของวนิษา จะเน้นฝึกทักษะจากการทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดเวลาได้มีการพัฒนา รูปแบบกิจกรรมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ชาววนิษาเรียกการเรียนการสอนนี้ว่า Project Approach ซึ่งอาจารย์ชุมศรีไม่ประสงค์ จะแปลเป็นไทย หรือเรียกว่า "โครงงาน"

โดยวิธีการเรียนนี้ ครูในโรงเรียนวนิษาจะช่วยกันระดมความคิด นำเสนอหน่วยการเรียนหลัก และภายใต้หน่วยหลักนั้นจะต้องคลุมหน่วยเล็ก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ชุมชนของเรา ต้นไม้ พืช มลภาวะ หน่วยการเรียนจะเปลี่ยนไปในแต่ละเทอม

ในภาคการศึกษานี้ เด็กๆ กำลังสนุกอยู่กับหน่วยการเรียนชุมชนเมือง ห้องอนุบาลทั้ง4 ถูกสมมติให้เป็นเมืองต่างๆ กวางเจา ราชคฤห์ อลาสก้า และอยุธยา เด็กๆ สนุกที่ได้เห็นคุณครูแต่งกายไปตามบทบาทสมมุติ

บรรยากาศสดใสของเช้าวันหนึ่งที่ห้องอยุธยา เด็กๆ กำลังสาละวนอยู่กับการปั้นบัวลอย บางลูกเล็กเท่าลูกปัด บางลูกยาวๆ รีๆ บางลูกใหญ่เท่าลูกชิ้น เด็กๆ กำลังสร้างสรรค์หน้าตาของบัวลอยที่ไม่ใช่แบบฉบับของบัวลอยที่ครูเคยเห็นหรือเคยทานที่ไหนมาก่อน เมื่อปั้นเสร็จเด็กๆ ไปยืนออกันหน้าเตา ช่วยกันหย่อนแป้งที่ปั้นลงในกะทะทองเหลือง ที่กำลังร้อนพอเหมาะ หลายคนกลัว เอามือผลุบเข้าหาตัวเมื่อไอร้อนมาปะทะมือ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปลองใหม่ คราวนี้มีความระวังมากขึ้น และกะระยะได้ว่าแค่ไหนจะปลอดภัยสำหรับตัวเอง

ห้องกวางเจา เด็กๆ กำลังช่วยกันสร้างธารน้ำ เอากาวแป้งเปียกผสมสีฟ้าขยำขยี้ปาดไปบนพลาสติกผืนใหญ่ดูแล้วเหมือนคลื่นน้ำ เด็กและครูช่วยกันยกไปพาดไว้เป็นแม่น้ำเมืองกวางเจาระหว่างสร้างแม่น้ำ ครูก็ชวนคุยต่างๆ นานา "ทำไมคนถึงมาอยู่ใกล้แม่น้ำล่ะคะ? "ไว้ดื่มเวลาหิวครับ" "เอาไว้ซักเสื้อ" "คนจับปลาในแม่น้ำ" ฯลฯ

เด็กน้อยกลับเป็นฝ่ายถามบ้าง "เมืองอื่นมีแม่น้ำเหมือนเราไหมคะ? "ผมเห็นห้องนั้นก็มีแม่น้ำเหมือนกัน" แต่เขาบอกว่า เป็นแม่น้ำน้ำแข็ง" เด็กอีกคนชิงตอบแทนครู พลางชี้มือไปอีกห้องหนึ่ง ที่ห้องนั้น เด็กๆ ใจจดใจจ่อกับการจะได้ออกไปล่าปลาวาฬ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวอลาสก้า เมื่อได้เวลาทุกคนติดอาวุธในมือ เป็นก้านผักตบชวา หมายมั่นว่าต้องล่าปลาวาฬตัวโตให้ได้ สักพักปลาวาฬยักษ์ว่ายวนเข้ามาในโรงเรียนเด็กๆ กรูเข้าล้อมหน้าล้อมหลัง ครูในชุดปลาวาฬกระดาษวิ่งหนี เด็กผนึกกำลังกันวิ่งไล่ และต้อนเข้าสู่เขตแดนสมมติได้สำเร็จ สักพักนักเรียนห้องกวางเจาตามออกมาสมทบและชักชวนกันเชิดสิงโต แรกๆ หัวและหางโย้เย้ไปคนละทางก่อนที่เด็กๆ จะปรึกษากันและหาทางจัดให้ขบวนสิงโตเข้ารูปเข้ารอย

หลังจากได้ออกกำลังกายจนเหงื่อชุ่มครูต้อนกลับเข้าห้องเรียน แต่ละห้องทำกิจกรรมของตนต่อไป คั้นกะทิไว้ใส่บัวลอย วาดรูป ต่อบล็อค เล่นดนตรี จะมีก็แต่นักล่าปลาวาฬทียังได้ออกมาเริงร่านอกห้อง ครูอี๊ดนำขบวนเด็กไปยังลานโล่งที่ครูใหญ่ให้คนเทน้ำแข็งไว้เต็มพื้นรออยู่แล้ว เด็กๆ ตื่นเต้น เข้าไปกระจุกตัวกันอยู่บนพื้นน้ำแข็ง ครูพูดชวนให้เด็กๆ สัมผัสและซึมซับความเย็นยะเยือก สังเกตขนาด จำนวนของก้อนเล็กก้อนใหญ่ มุมใกล้กัน มีอ่างใส่น้ำและน้ำแข็ง ครูเริ่มตั้งคำถามให้นักเรียนสังเกตถึงการจม การลอยของน้ำแข็ง

เล่นคือเรียน

ดูเผินๆ เด็กอนุบาลของวนิษาจะเล่นสนุกันทั้งวัน ไม่มีครูมาคอยควบคุมให้ทำอะไรต่อมิอะไรที่ไม่อยากทำ แต่เป็นเพื่อนเล่นที่เขารัก ยอมเป็นปลาวาฬให้พวกเขาไล่ล่า ยอมเป็นหัวหน้าขบวนสิงโต สนุกสนานราวกับครูเป็นเด็กไปด้วย

แต่พร้อมๆ ไปกับการเล่นเด็กๆ ได้เรียนวิทยาศาสตร์เรื่องการจม การลอยของวัตถุจากการต้มขนมบัวลอยและการเล่นน้ำแข็ง ได้ออกกำลังกาย จากการล่าปลาวาฬและเชิดสิงโต

ในแต่ละหน่วยการเรียนจะต้องมีเนื้อหาครบทั้ง วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม คณิตศาสตร์ "เวลาสอนเราจะไม่ได้แบ่งเป็นรายวิชา สอนรวมกันไป เพราะฉะนั้น ครูต้องแม่นว่าเด็กจะได้ความรู้อะไร"

แต่การให้ความรู้วิชาการนั้น ไม่ใช่การอัดแน่นความรู้ใส่สมองเด็ก แต่เป็นการกระตุ้นให้เด็กคิดหาคำตอบหลากหลาย เน้นความสร้างสรรค์ ด้วยคำถามแบบปลายเปิด เมื่อถามถึงรูปทรงของน้ำแข็ง เด็กไม่ผิดถ้าจะตอบไม่ตรงกันว่า "กลมๆ" "สี่เหลี่ยม" ยาวแบน" ไม่มีข้อหาฉกาจฉกรรจ์ ถ้าเด็กอยากปั้นบัวลอยเป็นเส้นยาวอยากทำขนมกล้วยแบบไม่ใส่กล้วย ไม่ผิดถ้าเด็กไร้เดียงสาทะเล้นตอบว่า ขนมถ้วยทำจากแป้งจอห์นสันกับนมโฟร์โมสต์ เป็นหน้าที่ของครูต่างหากที่จะช่วยขจัดความคิดที่เป็นอันตรายต่อตัวเด็กออกไป และส่งเสริมความคิดที่ดีให้คงอยู่

ที่วนิษาให้ความสำคัญมากกับการเตรียมความพร้อมทักษะด้านต่างๆ ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในการเรียนรู้ เด็กๆ จะได้ฝึกทักษะ ฟัง-พูด-เขียน-อ่าน ที่ไม่ใช่การเขียน-อ่านสัญลักษณ์แต่กินความหมายลึกกว่านั้นเพราะหัวใจของการเรียนรู้ภาษาที่แท้จริงคือการรู้จักแปลความหมายจากสัญลักษณ์

ฟัง ไม่ใช่เพียงการได้ยินและทำตามคำสั่งครู แต่หมายถึงการที่เด็กสามารถประมวลความหมายได้ ครูกระตุ้นโดยการเล่านิทาน หรืออัดเสียงต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชนลงในเทป เช่น ไก่ขัน นกร้อง น้ำไหล

พูด การพูดคุยจะเป็นการเรียนที่เป็นธรรมชาติที่สุด เด็กที่มีโอกาสพูดมาก และฟังมาก จะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการว่องไว

อ่าน เมื่อผู้ใหญ่ยิ้มแล้วเด็กยิ้มตอบ นั่นคือการที่เด็กอ่านไมตรีออกนั่นคือจุดเริ่มต้นของพัฒนาการอ่านตามธรรมชาติ ก่อนจะพัฒนามาอ่านรูป แล้วจึงอ่านตัวอักษร

เขียน ไม่ใช่การบังคับตรึงเด็กไว้ที่เก้าอี้ แล้วคัดอักษร แต่นำเด็กเข้าสู่กิจกรรมต่าง เพื่อเตรียม

พร้อมความสัมพันธ์มือและตา ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเขียนในอนาคต

ครูมีหัวใจเป็นเด็ก

"เราจะดีใจมากถ้ามีใครบอกว่าครูวนิษาเป็นเด็ก" เป็นเด็กในที่นี้ คือหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยากสัมผัส กับสิ่งแปลกใหม่ และพยายามค้นหาคำตอบนั้น

ในเอกสารอบรมครูประจำการโรงเรียนวนิษา มีคำพูดที่น่าสนใจว่า "ไม่แน ่สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตครูอาจจะเป็นการเก็บรักษาความอยากรู้อยากเห็นตื่นเต้นต่อโลกใบนี้ไว้ ไม่ให้หล่นหายไปจากหัวใจของเด็ก เมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว" และเมื่อครูเข้าถึงหัวใจเด็ก ก็จะไม่ขัดขวางความซุกซนใคร่รู้ ไม่ลงโทษด้วยการตี

"ครูของที่นี่ ต้องเปรี้ยว ไม่จืด มีอารมณ์ขัน ที่สำคัญคือ รักเด็ก และเวลาทำงานต้องกล้าแสดงออก ต้องกล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ฉะนั้นเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นครูโรงเรียนนี้ เถียงครูอยู่เสมอ ถ้าคิดว่าเหตุผลเขาดีกว่า"

การสอนแบบ Project Approach คือการสืบค้นข้อมูลในด้านลึก ตามหัวข้อที่เด็กสนใจ จุดเด่นของการเรียนนี้คือ การพยายามค้นหาคำตอบจากคำถามที่เกี่ยวกับหัวเรื่อง ไม่ว่าคำถามนั้นจะมาจากเด็ก หรือครูก็ตาม

การสอนแบบ Project Approach นี้มิใช่เรื่องใหม่ในการศึกษา หากแต่มีมานานแล้ว และได้รับการพัฒนารูปแบบให้ชัดเจนขึ้น โดย Lilian Katz ชาวอเมริกัน และ Sylvia Chard ชาวแคนาดา ทั้งคู่ได้รับแรงบันดาลใจจากการศึกษาดูงานการเรียนการสอน แบบ Project Approach จากโรงเรียนก่อนประถมศึกษาและประถมศึกษาในเมือง Reggio Emilia ทางตอนเหนือของอิตาลี

องค์ประกอบของการเรียนแบบ Project Approach คือ การอภิปรายกลุ่ม การศึกษานอกสถานที่ การนำเสนอประสบการณ์เดิม การสืบค้น และการจัดแสดง

จะเห็นได้ว่า ประชาชนทั่วไป หรือชุมชนใกล้เคียงของโรงเรียนจะต้องตระหนักและใส่ใจกับการเรียนรู้ของเด็ก รู้ว่าเยาวชนของประเทศเขากำลังเรียนเรื่องอะไรอยู่ ซึ่งอาจารย์ชุมศรีมีความเห็นว่าการจะจัดการเรียนการสอนแบบ Project Approach อย่างสมบูรณ์แบบในประเทศไทย เกิดขึ้นค่อนข้างยาก จำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณจำนวนมาก เนื้อหา บุคลากรที่มีคุณภาพและทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน


ที่มา : หนังสือสานปฏิรูป ฉบับเดือนสิงหาคม 2542

"อัจฉริยะ" ปั้นได้

เปรมศิริ ฤทัยเจตน์เจริญ
วนิษา เรซ ถอดรหัสการทำงานของ "สมอง" ตามทฤษฎี "อัจฉริยภาพหลายประการ" (Multi-intellect Theory) ของ โปรเฟสเซอร์ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ บนแนวคิดว่า อัจฉริยะ"สร้างได้"


วนิษา เรซ หรือ "ครูหนูดี" ชื่นชอบเป็นพิเศษกับการเรียนวิชาแปลกๆ ที่คนไทยน้อยคนจะสนใจ เพราะเป็นวิชาที่แทบไม่มีอนาคตต่อ การหาเงิน หรือสร้างอาชีพการงาน

ครูหนูดี มีดีกรี เกียรตินิยม ปริญญาตรีด้านครอบครัวศึกษา (Family Studies) จากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ และวิชาสุดท้าย ที่เธอเลือกเรียนคือ "ใช้ชีวิตให้มีความสุข"

หลังจากนั้นไปต่อปริญญาโทด้านวิทยาการทางสมอง (Neuroscience) ในโปรแกรม Mind, Brain and Education จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอีกเช่นกัน

แม้จะเป็นวิชาที่แปลกในสายตาของใครต่อใคร แต่เธอกลับพบว่า ปริญญาทั้งสองใบที่ได้มา "ยิ่งใหญ่" กับงานในฐานะ "ครู" เป็นอย่างยิ่ง

ครูหนูดี ตั้งใจว่า ก่อนจะบินกลับไปเก็บตัวในห้องวิจัยเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกเธอจะใช้เวลา 2 ปี "ติวเข้ม" ให้คนอีก 4 กลุ่มเรียนรู้ในการพัฒนาตัวเอง นั่นคือ กลุ่มนักเรียนม.ปลาย ที่กำลังเตรียมตัวเอนทรานซ์อย่างหน้าดำคร่ำเครียด นักศึกษาเรียนหนัก กลุ่มพ่อแม่ฝึกลูกให้เป็นอัจฉริยะ และกลุ่มยังก์โปร หรือคนทำงานรุ่นใหม่

ผ่านงานเขียนหนังสือ และการฝึกอบรม ภายใต้บริษัทจัดอบรม "อัจฉริยะสร้างได้"

เริ่มจากการปั้นเด็กๆ ในโรงเรียนวนิษาที่เธอนั่งบริหารอยู่ให้เป็นเด็กน้อยแสนอัจฉริยะ และมีความสุข

"ตอนเรียนปีสุดท้ายถามโปรเฟสเซอร์ว่าทำยังไงให้คนเราอยู่อย่างมีความสุข โปรเฟสเซอร์ก็บอกว่า การให้คนๆ หนึ่งมีความสุขได้ต้องเริ่มจากหน่วยเล็กที่สุด เมื่อหน่วยเล็กที่สุดมีความสุข หน่วยใหญ่ก็จะมีความสุข เลยเลือกเรียนจิตวิทยาครอบครัว

พอเรียนปริญญาโทก็คิดว่าจะเรียนอะไรที่ไม่ซ้ำกัน และเรียนอะไรที่ใช้กับทุกคนในโลกได้ ก็มาเจอวิชาพหุปัญญา คือ เรื่องอัจฉริยภาพไม่ได้มีด้านเดียว เป็นการเรียนเกี่ยวกับสมองว่าทำงานอย่างไร และจะพัฒนาศักยภาพให้ดีที่สุดได้ยังไง ซึ่งเป็นการเรียนกลไกการทำงานของสมองโดยไม่ต้องผ่าสมอง"

องค์ความรู้ใหม่ด้านสมองที่เพิ่งค้นพบไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา โดยโปรเฟสเซอร์โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ วิจัยพบว่า สมองมีการเรียนรู้และพัฒนาผ่านกลไกทำงาน 10 หลักการ นั่นคือ

สมองเรียนรู้ผ่านร่างกายที่พร้อม สมองมีความตื่นตัว (Relaxed Alertness)

การจดจำที่ดีได้มาจากการ "ทำซ้ำ" จนเกิดเป็น "ทักษะ"

สมองตื่นตัวเปิดรับต่อสิ่งแปลกใหม่ เพราะถ้าสิ่งไหนซ้ำซาก สมองจะเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ ไม่ต้องใส่ใจ

ความรู้สึกและอารมณ์มีผลสำคัญต่อการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่ดีจึงต้องเพาะ "เมล็ดพันธุ์แห่งความสุข" หรือการ "คิดเชิงบวก" เพื่อให้เกิดการกล้าคิด กล้าทำ กล้าสร้างสรรค์

สมองเรียนรู้จากการ "เชื่อมโยง" กับประสบการณ์เดิม

สมองรับรู้ผ่าน "ประสาทสัมผัส"

สมองจะถูกปิดกั้นเมื่อเกิดความเครียด ความกลัว ความเบื่อ ซึ่งสมองส่วนสัญชาตญาณ (Reptilian Brain) จะสั่งให้เอาตัวรอดด้วยการหลบหนีมากกว่าจะใช้ความคิดระดับซับซ้อน

สมองมีความสามารถหลายด้าน จากการวิจัยของการ์ดเนอร์ ระบุว่า ความสามารถหรืออัจฉริยะมี "อย่างน้อย" 8 ด้าน ได้แก่ อัจฉริยะด้านภาษา คณิต/ตรรกะ ดนตรี/จังหวะ ด้านการมอง/มิติสัมพันธ์ ร่างกาย/การเคลื่อนไหว ความเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น และด้านความเข้าใจธรรมชาติ

สมองทำงานเป็นองค์รวม หมายความว่า การพัฒนาความสามารถควรให้ความสำคัญกับการได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย และจากประสบการณ์ตรง แทนที่จะมุ่งเน้นความจำเพียงอย่างเดียว

และสมองต้องมีเวลาจัดระบบข้อมูล

หลักการทำงานด้านสมองที่ได้รับการถ่ายทอดจาก ดร.การ์ดเนอร์ ต้นตำรับด้านวิทยาการด้านสมอง ครูหนูดี นำมาใช้กับเด็กๆ ในโรงเรียนวนิษา ทำให้รูปแบบการเรียนการสอนที่นี่จะ "แหวก" กว่าที่อื่น ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ ให้เด็กๆ ได้แสดงศักยภาพการคิด ความเป็นผู้นำอย่างไม่มีขีดจำกัด

เธอยกตัวอย่างกิจกรรมสนุกให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นอย่างไร ถ้าจะให้ท่องจำกันปาวๆ เธอว่า เด็กๆ ไม่มีวันรู้ซึ้งว่าแบบไหนจึงจะพอเพียง ครูหนูดีจึงให้เด็กๆ ทั้งโรงเรียนร่วมกันสร้าง 2 หมู่บ้าน

หมู่บ้านแรก เลี้ยงไก่ เลี้ยงแพะ และมีผลิตภัณฑ์ดินเผา อีกหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านเกษตรกรปลูกผักขาย

เด็กสนุกกับการสร้างบ้านเอง สร้างเตาเผาเพื่อผลิตเครื่องปั้นดินเผาเอง มีกิจกรรมเลี้ยงแพะ เลี้ยงไก่ ปลูกผัก และนำผลิตภัณฑ์มาแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน

ทั้งหมดนี้เด็กๆ ช่วยกันคิดคอนเซปต์เอง หาวิธีแก้ปัญหาเอง พ่อแม่ ครู แค่ช่วย "ไกด์" อยู่ห่างๆ

"เราให้เด็กทั้งโรงเรียนคิดคอนเซปต์ขึ้นมาเองว่าอยากให้หมู่บ้านเป็นแบบไหน แล้วให้เขาเลือกเองว่าอยากอยู่หมู่บ้านไหน โดยมีคุณพ่อที่เป็นวิศวกรให้คำปรึกษาว่าต้องสร้างบ้านยังไง จะสร้างเตาเผายังไง พอได้ผลิตภัณฑ์จะแลกเปลี่ยนอย่างไร ก็มีการคิดว่าจะเอาของมาแลกเปลี่ยนกัน เด็กๆ สนุก และได้เรียนรู้ว่าแค่ไหนถึงพอเพียง

พอปลายปีครูกับนักเรียนจะช่วยกันออกข้อสอบว่า ควรจะวัดทักษะเขาในเรื่องไหน เช่น การประนีประนอม การเป็นผู้นำที่สามารถนำทั้งกลุ่มไปสู่ความสำเร็จได้ เราคิดว่าการออกข้อสอบแบบนี้เหมาะสมกับเด็กในแบบที่เด็กเป็น เพราะเด็กแต่ละคนสภาพแวดล้อม ความสามารถไม่เหมือนกัน"

หลายคนอาจจะมีคำถามว่า วิธีเรียนแบบนี้ "แหวก" เกินหรือไม่ แล้วเด็กๆ จะออกผจญกับโลกที่แสนจะโหดร้ายได้แน่หรือ

"คอนเฟิร์มว่าเรามาถูกทาง เด็กของที่นี่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับสังคมภายนอกได้ดี"

ครูหนูดีเชื่อว่า ความสนุกผ่านกิจกรรม ทำให้เด็กตื่นตัว เรียนรู้ได้ดีกว่า เหมือนกับการเพาะ "เมล็ดพันธุ์แห่งความสุข" ไม่ผิดจากบรรดาอัจฉริยะบุคคลที่ได้รับรางวัลโนเบลที่ยุคหนึ่งโรเบิร์ต ไอส์ไตน์ หรือโทมัส เอดิสัน ถูกมองว่า "สติเฟื่อง"

"แต่จริงๆ บุคคลเหล่านั้นเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดีที่สุด และใช้ชีวิตที่สมดุลมากกว่าคนเก่งแต่เครียด"

และไม่ใช่แค่เด็กๆ ที่จะสร้างผลงานอันแสนจะอัจฉริยะได้เท่านั้น แต่เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ผู้ใหญ่ฝึกฝนเพิ่มศักยภาพได้ดีขึ้น

เธอบอกว่า หากรู้จักกลไกการทำงานของสมอง รู้ว่าสมองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วทำอย่างที่สมองชอบ ก็เพิ่มศักยภาพได้ง่าย

เทคนิคง่ายที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองแนะนำ คือ ต้อง "เปิดฉาก" ตอนเช้า และ "ปิดฉาก" ก่อนนอน

"สมองชอบมองทุกอย่างในภาพรวมก่อนที่จะลงรายละเอียด เพราะฉะนั้นก่อนเริ่มทำงานให้ใช้เวลา 5 นาที สำรวจ เรียบเรียงก่อนว่าเช้านี้ เราจะทำอะไร บ่ายจะทำอะไร จากนั้นค่อยมาลงรายละเอียดในช่วงวันทีหลัง

และก่อนนอนให้มอง "สรุป" อีกสัก 5 นาที ว่าวันนี้เราทำอะไรไปแล้ว เรียบร้อยมั้ย ถ้าไม่ ก็จดว่ามีอะไรที่ต้องทำ แค่นี้เราก็จะหลับสบาย คนที่หลับไม่ลงเพราะไม่มีการ "ปิดฉาก" ให้สมอง"

นอกจากนั้นการทำงาน หรือการอ่านหนังสือ ต้องทำอย่างผ่อนคลาย

"ช่วงความสนใจของคนจะมีแค่ 50 นาที แทนที่จะทนท่องแบบเบื่อๆ ไม่ลุก ไม่นอน ควรจะเปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ แบ่งเป็นช่วงละ 50 นาที แล้วก็นอนเยอะๆ จะได้ผลมากกว่า เพราะสมองคนเราจะบันทึกเฉพาะเวลานอน ถ้าอยากจำมากต้องนอนเยอะให้เต็มอิ่ม สมองจะบันทึกได้มากขึ้น"

และแทนที่จะท่องจำเป็นนกแก้ว นกขุนทอง ให้จำเป็น "Mind Map" จดเป็นรูปภาพ ด้วยปากกาหลากสี เป็นอีกเทคนิคที่สมองบันทึกได้ดีกว่า

หากรู้จักกลไกการทำงานของสมอง "อัจฉริยภาพ" ก็สร้างได้ไม่ยาก

Key Point

อัจฉริยภาพสร้างได้

๐ 5 นาที สำรวจสิ่งที่ "ต้องทำ" ก่อนทำงาน

๐ 5 นาที ทบทวนสิ่งที่ได้ทำก่อนนอน

๐ "จิบ" น้ำบ่อยๆ ช่วยให้คิดเร็ว

๐ แบ่งช่วงการทำงาน/อ่านหนังสือช่วงละ 50 นาที แล้วเปลี่ยนอิริยาบท

๐ คิด "เชิงบวก"

๐ จดจำเรื่องต่างๆด้วย "Mind Map"

๐ นอนพักให้อิ่มวันละ 8 ชั่วโมง
ทีมงาน POSITIONING สบโอกาสดีออก “Day Trip” โดยใช้เวลาช่วงสั้นๆ ตามติดชีวิตหนูดี ผู้ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อและสังคมมากพอๆ กับบรรดา Nominee ของทักษิณและผบ.ทบ. ในฐานะที่เธอได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น “อัจฉริยะที่ดังชั่วข้ามคืน” กลายเป็นคนดังระดับดาราที่มีคิวแน่นยาวเหยียดถึงปลายปี

Day 1 : ชมโรงเรียน+ถ่ายรายการช่อง 11 +ให้สัมภาษณ์ Marie Claire, รายการคืนพิเศษ คนพิเศษ

วันนี้เด็กๆ ”โรงเรียนวนิษา” มีกิจกรรมลงแปลง ”ปลูกผัก” ร่วมกัน ตามธีมการเรียนรู้ของภาคการศึกษานี้ที่ว่าด้วย ”การขอบคุณสรรพสิ่ง” โดยมีทีมงานจากช่อง 11 คอยตามเก็บภาพการทำกิจกรรมของหนูดีและเด็กๆ

จากการพูดคุยข้างแปลงผักกับเด็กๆ นอกจากความครีเอตในการเลือกอุปกรณ์ อาทิ การใช้ไขควงขุดดิน สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ชัด คือ เด็กโรงเรียนวนิษามีความเป็น ”ผู้ใหญ่” และมี ”ภาวะผู้นำ” สูง กรณีศึกษามีให้เห็นจริงเมื่อเด็กหญิงเดินมาหา “คุณครูหนูดี” ด้วยเลือดที่ไหลเป็นทาง ก่อนแจงสาเหตุโดยไม่ร้องไห้แม้แต่น้อย “เด็กที่นี่สามารถจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดีและเร็วมาก เพราะเขาได้รับการยอมรับในอารมณ์ทุกอย่าง จนรู้สึกว่าไม่ต้องสู้เพื่อการแสดงออกซึ่งอารมณ์” วนิษาอธิบายให้เราฟังในเชิงจิตวิทยา

วาระ “การขอบคุณสรรพสิ่ง” เปิดโอกาสให้เด็กวนิษารู้จักการ ”เอาใจใส่” ตนเองและสิ่งรอบตัว “การปลูกผักในวันนี้ คือการขอบคุณโลกของเด็กๆ ค่ะ” ที่มาแห่งแนวคิดคือ เดิมทีเด็กๆ ไม่กินผัก ทว่าเมื่อต้องทำอาหารทานเอง แม้มีผักพวกเขาก็ไม่เกี่ยง “หนูดีเลยแนะนำพ่อแม่ว่าถ้าอยากให้เด็กกินผัก ลองให้พวกเขาทำกับข้าวเองที่บ้าน ซึ่งก็ได้ผล”

ขณะเดียวกัน นอกจากการสอบตามการประเมินผลของกระทรวงศึกษาฯ เด็กโรงเรียนวนิษา ยังมีการสอบปลายภาคแบบ ”ปฏิบัติ” ด้วย โดยโจทย์ก็คือ ”ธีมการเรียนรู้” ซึ่งเป็น ”วาระแห่งโรงเรียน” ในภาคการศึกษานั้นๆ



เด็กๆ ต้องเอาองค์ความรู้ที่ได้เรียนมาแสดงให้ ”ผู้ปกครอง” ดู เนื่องจากวนิษามีแนวคิดว่า ในโรงเรียน คนที่ ”สำคัญ” ที่สุดคือ “เด็ก” ไม่ใช่ ”ครู” ทว่า การที่หลายโรงเรียนประเมินผลด้วยข้อสอบที่เด็กต้องพยายามตอบให้ตรงใจครู ย่อมไม่ได้คุณลักษณะของเด็กที่ ”คิดเองเป็น” การให้โจทย์เป็นธีมกว้างๆ ในแต่ละเทอม จึงเป็นการฝึกให้เด็กคิด ด้วยลักษณะการโยน ”คำถามปลายเปิด” เพื่อให้พวกเขาค้นหาคำตอบด้วยตนเอง

บ้านไม้ขนาดย่อมในพื้นที่หลังโรงเรียน เป็นผลพวงจากธีม ”เศรษฐกิจพอเพียง” เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ด้วยเด็กๆ สงสัยว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือการไม่ติดต่อกับโลกภายนอกหรืออย่างไร จึงนำมาสู่การสร้างหมู่บ้านเพื่อหาคำตอบ เด็กๆ สืบค้นอินเทอร์เน็ตและสัมภาษณ์ผู้ใหญ่ซึ่ง ”ให้เกียรติ” เขาและเต็มใจให้ความรู้ เป็นการกระตุ้นให้เด็กๆ อยากแสวงหาและเรียนรู้ต่อไป “มันทำให้เราได้คุณลักษณะของเด็กที่แปลก แต่มีคุณค่าอย่างมาก” วนิษากล่าวด้วยเสียงหัวเราะ ”เด็กๆ มีความสุขมาก เลิกเรียนปุ๊บเข้าหมู่บ้าน พวกเขาสร้างบ้านเอง วัดขนาดไม้เอง ขุดบ่อเลี้ยงปลาแต่มีกบมาอยู่ เลี้ยงไก่ เลี้ยงแพะ ทอผ้า ปั้นดิน ฯลฯ” หนูดีในบทบาทคุณครูเล่าต่อ “ตลกมาก เด็กอยากทำคลอดแพะ ไม่ยอมเรียน ครูบอกไม่ได้ ไม่งั้นขอคิดชั่วโมงละ 20 บาทปรากฏว่าเด็กหยิบเงินออกมา 40 บาท บอกว่าขอซื้อ 2 ชม.”

แทนที่จะเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเครียด “วันสอบปลายภาค” ของโรงเรียนจึงกลายเป็น ”วันแห่งความสุข” ของผู้ปกครอง ครู และนักเรียน “ผู้ปกครอง” ถูกเชิญมา ”ให้คะแนน” เด็กๆ เพื่อให้ ”ผลการสอบ” เป็นไปในลักษณะของ “Feedback” เพื่อให้เด็กนำไปใช้ปรับปรุงการเรียนรู้มิใช่เป็น ”บทลงโทษ” ดังเช่น เทอมที่ใช้ธีม ”สุขภาพดีด้วยวิถีไทย” เด็กๆ ได้เรียนรู้การนวดแผนไทย การใช้สมุนไพรบำบัดโรค ฯลฯ จนโรงเรียนวนิษากลายสภาพเป็น ”สปา” ขนาดใหญ่ในวันสอบปลายภาค

“ความต่าง” ในการ ”ตัดเกรด” ของโรงเรียนวนิษา คือ ”กระบวนการซึ่งการได้มา” อีกทั้งไม่มีการนำเกรดมาจัดลำดับ ที่นี่จึงไม่มี ”ที่หนึ่งหรือที่โหล่” ด้วยนโยบายของวนิษาที่ไม่แนะนำให้เด็กแข่งกับใครนอกจาก ”ตัวเอง”

สำหรับการเรียนการสอน นอกจากคอนเซ็ปต์ ”Freedom & Beyond” ของมารดาเมื่อแรกก่อตั้งโรงเรียน และงานวิจัยชิ้นใหม่ๆ ที่นำมาสอดแทรกในหลักสูตรอยู่เสมอ วนิษาได้นำ ”วิถีแห่งสติ” ซึ่งเป็นแนวทางแห่งเซน มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการ “เรียนรู้ชีวิต” ของเด็ก อาทิ การให้เด็กนอนผ่อนคลาย ใช้ ”สติ” สำรวจร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า แนวคิดดังกล่าวเกิดจากความศรัทธาและเห็นจริงซึ่งประโยชน์ในวิถีปฏิบัติของท่าน ”ติช นัท ฮันห์” หลังจากวนิษาได้อ่านหนังสือแห่งความงดงามเล่มเล็กๆ ที่ชื่อ ”เมล็ดพันธุ์แห่งความสุข” ซึ่งเธอพกติดตัวเสมือนเป็น ”คัมภีร์ชีวิต” ตลอด 7 ปีที่อาศัยอยู่ในอเมริกา

กับการคัดเลือก ”บุคลากรครู” วนิษาใช้หลักการเช่นเดียวกับตอนที่เธอสมัครเข้าเรียน Harvard ซึ่งก็คือความพร้อมใน ”การให้” หรือเติมเต็ม ”ความสุข” ให้กับโรงเรียน คุณครูโรงเรียนนี้ต้องมีความ ”เรียบง่าย” และ ”ถ่อมตัว” ในการใช้ชีวิตพอสมควร ประกอบกับมีทัศนคติที่ดี และ ”ความสดใส” ขณะเดียวกัน ”เกรดเฉลี่ย” ของครูไม่ได้บอกความสามารถของสมอง หากแต่สะท้อนความตั้งใจ และความสามารถในการ ”ปรับ” วิธีการเรียน ให้เข้าวิธีการประเมินผลที่หลากหลายของอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย

ก่อนออกเดินทางไปให้สัมภาษณ์นิตยสาร Marie Claire หนูดีชี้แจงข้อสงสัยของทีมงานที่ว่าเหตุใดคุณครูและเด็กในโรงเรียนนี้จึงใช้สรรพนามนำหน้าชื่อเพื่อนๆ ว่า ”คุณ” เธอว่าเป็นกรอบปฏิบัติ (ที่นุ่ม) เพื่อแสดงการ ”ให้เกียรติ” เด็ก ซึ่งมีนัยไปถึงการให้เกียรติกับ ”พื้นที่ ความคิด และตัวตน” ของเด็ก ทำไมเราจะเรียกเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งมีคุณค่าและอยู่ในวัยเรียนรู้เพื่อจะทำประโยชน์ให้โลกว่า คุณ ไม่ได้ ?

Day 2 : บรรยายความรู้ + ออกงานสังคม Yafriro Night

เช้าตรู่ของวันเสาร์ “วิทวัส” 1ใน 4 “เลขาจตุสดมภ์” ของวนิษา เรซ บึ่งรถมายังงานสัมมนาที่สนามเสือป่า หนูดีในชุดผ้าไหมสีส้มได้รับเชิญมาบรรยายในหัวข้อ ”นวัตกรรมการศึกษาแบบ Hospitality” ให้แก่ ”คณาจารย์และผู้บริหารการศึกษา” ที่มาจากทั่วประเทศกว่า 400 คน

ครั้งนี้ หนูดีเพิ่งรับรู้ชะตากรรมก่อนขึ้นเวทีว่า เธอต้อง ”เดี่ยวไมโครโฟน” เป็นเวลานานร่วมชั่วโมง อันที่จริงเธออาจ play safe โดยหยิบงานวิจัย หรือความรู้ที่ถนัดขึ้นมาพูดได้จนครบกำหนดเวลา ทว่า สิ่งที่เธอทำมีความ ”เสี่ยง” และ ”ท้าทาย” กว่านั้น วนิษาเลือกแก้สถานการณ์ด้วยการให้เวลากับการถาม-ตอบ ”อะไรก็ได้”มากกว่าครึ่ง จนอดทึ่งไม่ได้กับระบบการบริหาร ”ความรู้คงคลัง” ในสมองระดับ Mainframe ของเธอ วนิษามีคำตอบให้ทุกคำถาม โดยดึงข้อมูล ”งานวิจัย” ซึ่งผนวกเอา ”ความรู้และประสบการณ์จริง” ได้ทันทีเสมือนไม่ต้องใช้เวลาคิด แม้จะเป็นคำถามปลายเปิดที่ ”กว้างมาก”

ทั้งนี้เพราะวนิษาได้รับการฝึกฝนมาเพื่อเป็น ”ผู้บรรยายเพื่อให้ความรู้” โดยเฉพาะการนำความรู้ทางด้าน ”วิทยาศาสตร์สมอง” และ ”จิตวิทยา” มาสื่อสาร ผ่านทั้งรูปแบบ ”การพูด” และ ”การเขียน”

โดยด้านงานเขียน เธอเป็น ”คอลัมนิสต์” ให้กับหนังสือพิมพ์ ”โพสต์ทูเดย์” และนิตยสาร ”บันทึกคุณแม่” นอกเหนือจากหนังสือเล่มของตัวเองในชื่อ ”อัจฉริยะสร้างได้”

บริษัทของวนิษาใช้ชื่อเดียวกันกับหนังสือที่เธอแต่ง... “บริษัทอัจฉริยะสร้างได้” ก่อตั้งด้วยทุนจดทะเบียนมหาศาลในแง่ของ ”ต้นทุนทางปัญญา” เพื่อรองรับ ”งานบรรยายและงานสัมมนา” ของเธอ หลายคนแซวว่าเป็น ”บริษัทอัจฉริยะสร้าง (เงิน) ได้” แต่หารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วนโยบายของบริษัทนี้ไม่ได้อาศัยแบบแผนของ ”ทุนนิยม” อย่างที่คิด เธอกำหนด ”ขอบเขตรายได้” ต่อปีของบริษัทไว้ ”ไม่ให้เกิน” เลข 7 หลัก ทั้งที่ความเป็นจริงธุรกิจของบริษัทสามารถไต่ระดับได้ถึงหลักร้อยล้านเลยทีเดียว

ทั้งที่การจดทะเบียนนิติบุคคลมักมาควบคู่กับคำว่า ”นักธุรกิจ” แต่ไม่ใช่สำหรับวนิษา เดิมเมื่อเธอเรียนจบกลับมา วนิษามีความตั้งใจที่จะเป็น ”อาจารย์มหาวิทยาลัย” แต่ด้วยพบว่าความรู้ของเธอมีความต้องการใน ”วงกว้าง” ข้อจำกัดบางประการจึงนำไปสู่การจัดตั้งองค์กร “จริงๆ มันคือที่ที่ทำให้คนสามารถติดต่อกับหนูดีได้อย่างเป็นระบบเท่านั้นเองค่ะ”

หนูดีมีเงื่อนไขในการรับงานที่ชัดเจน เรื่องเดียวที่เธอขอไม่ขอเกี่ยวข้องในกรณีใดๆ คือ ”การเมือง” นอกเหนือจากนั้น ไม่ว่างานใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ”ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์สมอง” เธอรับบรรยายทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่ ตั้งแต่ สถาบันนิวเคลียร์แห่งชาติ, บริษัทห้างร้าน, โรงเรียน หรือแม้แต่ระดับบุคคลอย่างผู้ช่วยของคุณหญิงคุณหมอพรทิพย์ “...ยิ่งงานไหนได้พูดเกี่ยวกับเรื่องงานวิจัย จะชอบมาก ”หนูดีเล่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนเล่าถึง ”คำถามครีเอต” ของเด็กๆ ราชินีบน“...ทำไมเวลาเรียนถึงง่วงนอน?, ทำไมเวลาเรียนแล้วอยากคุยกับเพื่อน?, ...?” ก่อนจบด้วยคำถามใสๆ ”ทำไมคนเราต้องถามคะ?”

ช่วงหัวค่ำวันนี้ วนิษา เรซ ได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงนาฬิกาหรู “Yafriro” ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ด้วยเหตุที่ว่า เธอเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการคัดเลือกจาก Yafriro ให้ได้รับรางวัล “Exceptional Woman” ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลปีในปีก่อนๆ มีหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น ดารานางแบบคริสตี้ ซุง, หมอจากHarvard, หรือแม้แต่ Chef ตะหลิวทองจากฝรั่งเศส

Day 3: โรงละครมะขามป้อม

ผลพวงจากฤทธิ์ไวรัสในลำคอของหนูดี ทำให้มูลนิธิมะขามป้อมตัดสินใจยกเลิกรอบการแสดง ”พระมหาชนก” ละครการกุศลที่หนูดีมีบทบาทในการเป็น ”ผู้บรรยายบทภาษาอังกฤษ” ไว้ชั่วคราว

กลุ่มละครมะขามป้อมมี ”สัญญาใจ” กับหนูดีมาตั้งแต่ก่อนเธอเดินทางไปศึกษาปริญญาโท จากแผ่นโปสเตอร์รับอาสาสมัครใหม่ที่เธอเห็นโดยบังเอิญ นำไปสู่การอบรมการละครและลงสนามจริงที่ภาคใต้ ”เขียนสคริปต์ เย็บเสื้อผ้ากันเองค่ะ ได้ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน” การแสดงละครเวทีของมะขามป้อมคือ อีกสิ่งที่เธอชอบ เพราะการได้ใช้อัจฉริยภาพครบทุกด้าน แม้เมื่อเกิดความผิดพลาดในการแสดง สมองของเธอก็ยังได้รับ ”สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร” จากทุกคนที่นั่น กระทั่งเป็นนโยบายหนึ่งที่เธอนำไปใช้ปลูกฝังไม่ให้เด็กโรงเรียนวนิษากลัวความผิดพลาด

“มูลนิธิมหาสมุทรแห่งปัญญา” ซึ่งวนิษายืมชื่อมาจากท่อนสุดท้ายในบทภาวนาของท่านติช นัท ฮันห์ เกิดจากแนวร่วมกับ ”หนูหวาน” ผู้เป็นน้องสาว ซึ่งต่างไม่มั่นใจใน ”ปลายทาง” ของเงินบริจาคของตน กิจกรรมในมูลนิธิของหนูดี มีการวางแผนเป็นไตรมาส อาทิ การพาเด็กไปสร้างวัด ปั้นพระพุทธรูป รับอุปการะเด็กชาวเขา ฯลฯ “การตั้งมูลนิธิมีความสุขมาก แต่ยากกว่าการตั้งบริษัท เพราะต้องใช้เงินประกันถึง 300,000 บาท”

นอกจากการบริจาคเงิน 10% ของรายได้คืนให้สังคม วนิษายังบริจาค ”เวลา” 20-25% ของบริษัทให้กับการกุศล คือการบรรยายโดยไม่รับค่าตอบแทนสำหรับองค์กร ซึ่งไม่มี ”ข้อกังขา” เรื่องการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

Day4: รายการร้านชำยามเช้า + Ogilvy นัดเลี้ยงข้าวเที่ยง + ส่งต้นฉบับโพสต์ทูเดย์

ทีมงาน Positioning มีนัดยามเช้า (กว่าปกติ) กับหนูดีเช่นเคย เนื่องจากวันนี้เธอต้องมาเป็นแขกรับเชิญในรายการ ”ร้านชำยามเช้า” รายการสดทาง TITV

ถ่ายรายการเสร็จ เธออวดปกใหม่ของหนังสือ ”อัจฉริยะสร้างได้” ให้ทีมงาน Positioning ดู “อีก 2 เล่มกำลังจะตามมาค่ะ ‘เทคนิคการเรียนเก่ง’ กับ ’การดูแลสมองส่วนอารมณ์’ ซึ่งจะลงลึกในรายละเอียดกว่าเล่มแรกที่พูดถึงสมองในภาพรวม”

มื้อเที่ยงวันนี้ หนูดีฝากท้องไว้กับทีมงานจากบริษัทโฆษณา ”Ogivy” ซึ่งนัดเธอทานข้าวเพื่อเป็นการขอบคุณในฐานะที่เธอรับเป็น ”พรีเซ็นเตอร์” ให้กับ Advertorial ของเครื่องสำอาง “Estee Lauder”

“หนูดีจะไม่รับค่ะ ถ้าสินค้านั้นไม่เกี่ยวกับองค์ความรู้ที่หนูดีอยากจะสื่อ” วนิษาให้เหตุผลที่เธอรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ “Idealist” ของ Estee Lauder ว่า ด้วยคอนเซปต์ “Idealist…Ideal Life” ของสินค้าที่เปิดโอกาสให้เธอ ”สื่อสาร” เรื่อง ”การวางแผนการใช้ชีวิต” แก่ผู้อ่าน ซึ่งเป็น ”คนรุ่นใหม่” ซึ่งวนิษามองว่าการเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้เธอมีโอกาสให้ความรู้ต่อสังคมในช่องทางสื่อสารที่มากขึ้น

ก่อนลาจากเพื่อให้เปิดโอกาสให้หนูดีได้ตกตะกอนความคิด ก่อนส่งต่อต้นฉบับให้โพสต์ทูเดย์ในวันนี้ เธอทิ้งท้ายถึง ”บทเรียนแรก” ของเด็กอัจฉริยะใน Harvard อย่างเธอให้เราฟัง... ”Humble…ความถ่อมตัว”...ศัพท์ซึ่งอยู่เกินความคาดหมายของคนไทยที่ได้รับรู้วัฒนธรรมตะวันตก…

แต่ละองศาในการใช้ชีวิตของ ”หนูดี” กลายเป็นสารสร้าง ”อาการเสพติด” ให้แก่ทีมงาน Positioning เมื่อสิ้นสุดการติดตาม “อัจฉริยภาพ” ในความหมายที่แท้จริงคือสิ่งใด ...คำตอบสำหรับบรรทัดนี้มีเพียงว่า อัจฉริยภาพที่สัมผัสได้จาก ”วนิษา เรซ” คือสิ่งทำให้เรา ”อิ่ม ยิ้ม และเป็นสุข”

Profile

Name: วนิษา เรซ
Age: 30 ปี
Education: ปริญญาตรี (เกียรตินิยม) ครอบครัวศึกษา, University of Maryland at College Park, USA ปริญญาโท (เกียรตินิยม) วิทยาการสมอง, Harvard University, USA
Career :
ประธานกรรมการ บริษัทอัจฉริยะสร้างได้
ผู้อำนวยการโรงเรียนวนิษา
คอลัมนิสต์ หนังสือบันทึกคุณแม่ และหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
จัดรายการวิทยุ “ชั่วโมงเศรษฐกิจ” ทางสถานีวิทยุจุฬา (101.5FM) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 9.30-10.00 น. และ “ข้อคิดชีวิตนี้” ทาง อสมท.(100.5) ทุกเสาร์ที่ 3 ของเดือน เวลา 22.00-24.00 น.

บรรยากาศดีๆ เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ณ โรงเรียนวนิษาของคุณหนูดี

http://www.sukiflix.com/17e56e07902b254dfad1.video


http://www.vanessa.ac.th/other.asp?smenuid=13&shmenuid=&nlevel=1

โรงเรียนวอลดร์ฟปัญโญทัย
ใช้ทฤษฎีการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ ของ ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์ ชาวเยอรมัน ซึ่งเน้นจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ สอดแทรกแง่มุมทางศิลปะในทุกวิชา ให้เด็กเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ และให้เรียนรู้การเข้าใจตัวเองและผู้อื่น โรงเรียนนี้ ไม่มีทีวี ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีชุดนักเรียน ไม่มีการสอบเข้า ไม่สอนภาษาอังกฤษในชั้นอนุบาล ไม่บังคับให้เด็กมัธยมต้องเข้ามหาวิทยาลัย แล้วที่นี่สอนอะไร?
น.พ.พร พันธุ์โอสถ ครูใหญ่โรงเรียนวอลดร์ฟปัญโญทัย
ครูทุกคนที่โรงเรียนวอลดอร์ฟปัญโญทัย มีพันธะสัญญาที่จะต้องพัฒนาตัวเองอย่างเต็มความสามารถ เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีแก่เด็กๆ ครูแต่ละท่านจบการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี หลายท่านจบปริญญาโทและปริญญาเอก ทั้งการแพทย์ กฎหมาย วิศวกรรมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ การเงิน และศึกษาศาสตร์ ครูทุกท่านละทิ้งความก้าวหน้าในวิชาชีพและค่าตอบแทนสูงๆ ไว้เบื้องหลัง เพื่อมาทำหน้าที่ครูอย่างเต็มที่ เพื่อเด็กๆ ทุกคน

http://www.sukiflix.com/5649e7003b83dd475529.video?โรงเรียนที่แตกต่าง

"ถ้าเจ้าจบออกไปจากนี่ แล้วเขารู้ว่า เจ้ามาจากสำนึกนี้ เป็นอันพอ"
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
โรงเรียนวชิราวุธ

http://www.sukiflix.com/301b442654dd8c23b3fc.video?วชิราวุธวิทยาลัย

ไม่มีความคิดเห็น: