1.4.51

สมอง "อัจฉริยะ"

สมอง "อัจฉริยะ" เรียนรู้ไม่จำกัด
1. สมองเด็ก
เด็กสมาธิสั้น คือ กลุ่มเด็กเก่ง ไหวพริบและไอคิวดีมาก

เด็กสมาธิสั้น คือ กลุ่มเด็กเก่ง ไหวพริบและไอคิวดีมาก แต่คำว่า สมาธิสั้น คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเป็นแง่ลบว่า ปัญญาอ่อน ไม่สามารถจะเรียนอะไรได้เลย...

เด็กสมาธิสั้น คือ กลุ่มเด็กเก่ง ไหวพริบและไอคิวดีมาก
โดย นพ.สมชาติ สุทธิกาญจน์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

เด็กสมาธิสั้น คือ กลุ่มเด็กเก่ง ไหวพริบและ ไอคิวดีมาก แต่คำว่า สมาธิสั้น
คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเป็นแง่ลบว่า ปัญญาอ่อน ไม่สามารถจะเรียนอะไรได้เลย
กลับตรงข้าม เป็นเด็กที่มีสมาธิมากเหมือนอยู่ในภวังค์ในเรื่องที่ชอบ สนใจแต่
ไม่อาจมีสมาธิได้เลยในเรื่องที่ไม่สนใจ

ลักษณะเด็กสมาธิสั้น
เด็กสมาธิสั้น หรือเรียก "ไฮเปอร์" มีประวัติ ใน วัย
เด็กทั้งเหม่อและซน อยู่ไม่นิ่ง ชอบปีนป่ายทำ
กิจกรรม มากมาย โดยเฉพาะการวิ่งเล่นซน ไม่รู้จัก
เหน็ด เหนื่อยทั้งวัน ยกเว้นการทำอะไร ที่ไม่สนใจ
จะทำได้ จะทำได้ไม่นาน หยุกหยิก เหม่อเหมือน
ไม่ฟังเวลาพูดคุยด้วยแต่กลับรู้เรื่องหมด เพราะ
สมองไวเหมือนเรดาร์ แบ่งภาคการรับรู้ได้มาก จึง
เลือก ตรวจจับ รับข้อมูลหรือคำสั่งเฉพาะเรื่องที่
สนใจและสำคัญ เช่น เสียงเรียกของแม่ที่เริ่ม อารมณ์เสีย หงุดหงิดกับการบอกหลายครั้งแล้ว
ยังไม่ฟัง ไม่ทำตาม เพราะกำลังเพลิน มีสมาธิมาก
กับการเล่น ในเด็กผู้ชาย มักเป็นสมาธิสั้นแบบซน เคลื่อนไหวเร็ว เหมือนรถ
ที่มีเครื่องยนต์แรงแต่เบรกไม่ค่อยดี พูดมาก เล่นสนุกส่งเสียงดัง ไม่ค่อยระวัง ทำอะไรรีบเร็ว ไม่เรียบร้อย ซุ่มซ่าม ของตกหล่น แตกบ่อย โดยไม่ตั้งใจ มี
ความว่องไวแบบนักวิ่งลมกรด หรือนักรักบี้ตัวน้อย ที่พละกำลังมากวิ่งชนคู่ต่อสู้
หรือหลบ ดิ้นหลุดจากการถูกกอดรัด จับตัวไว้ได้ในเด็กผู้หญิงมักพบสมาธิสั้น
แบบเหม่อมากกว่า ความซนจะน้อยกว่าเด็กผู้ชาย และทำอะไรเรื่อยๆ อืดอาด
ช้า ไม่ทันกำหนดเวลา ต้องคอยบอก กำกับ เหมือนไม่รู้เวลา เหม่อและหลงลืม
บ่อย ผู้ใหญ่ที่ใจร้อน ก็คือเด็กไฮเปอร์มาก่อน เป็นคนที่คิดเร็ว พูดเร็ว ทำเร็ว
แสดงออกท่าทางมากเวลาพูด เปลี่ยนใจในเรื่องต่างๆ ง่ายเพราะมองเห็นความ
เป็นไปได้หลายมิติของสถานการณ์ จึงปรับตัวรับมือต่อความเปลี่ยนแปลง ที่
พลิกผันได้ดี ชอบลักษณะงานที่ไม่อยู่กับที่ รักอิสระไม่ชอบถูกตีกรอบความคิด
เป็นคนที่คิดนอกกรอบ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง จนบางครั้งดื้อรั้น ไม่ฟังใคร
(อาจมีมาแต่วัยเด็ก เพราะดื้อคือลักษณะที่พบบ่อยในเด็กสมาธิสั้น) ความคิด
และจินตนาการที่แปลกใหม่พรั่งพรูในสมอง คิดโครงการใหญ่ หรือบริหาร
กิจกรรมหลายอย่าง เบื่องานซ้ำๆ งานที่เข้าทำตามเวลา หรือถูกเร่งรัด ด้วย
เวลาเด็กสมาธิสั้นมีสมาธิมาก แบบจดจ่อ อยู่ในภวังค์ ในเรื่องที่ชอบและสนใจ
ไม่ใช่ไแต่เฉพาะการ์ตูน (ที่ผู้ใหญ่มองว่าไม่เป็นสาระ) แต่ยังสนใจภาพยนตร์
สารคดี เรื่องราวของธรรมชาติ และสัตว์โลก ที่มีสีสันเป็นภาพเคลื่อนไหว และ
เนื้อหาแปลกใหม่ เป็นเด็กช่างสังเกต อยากรู้อยากเห็นมาก มีข้อสงสัย คำถาม
ในใจมากมาย มาซักถามจนผู้ใหญ่เหนื่อยที่จะตอบ รวมถึงชอบเล่นแกะรื้อ ต่อ
ประกอบอุปกรณ์ ของเล่นส่วนใหญ่มักกระจุยกระจาย แยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เพราะความอยากรู้อยากเห็น ผู้ใหญ่เข้าใจว่าซนไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อโตขึ้นก็รู้จักต่อ
ประกอบใหม่ ซ่อมเครื่องยนต์ กลไกต่างๆ โดยไม่ต้องมีใครสอน เรียนรู้สิ่งต่างๆ
ด้วยตนเอง จากการสังเกต ทดลองซ้ำ ฝึกปฏิบัติบ่อยๆ พื้นฐานเดิม เป็นเด็กที่
อารมณ์ดี สนุกสนาน รับรู้อารมณ์คนรอบข้างไว จึงอ่อนไหวง่าย ขี้น้อยใจมาก
จากการที่ถูกดุว่าบ่อย เรื่องซน เหม่อและดื้อ ฉลาดโต้ตอบด้วยไหวพริบ คารม-
คมคาย น้ำเสียงพูดสูงๆ ต่ำๆ มีลีลาแบบจังหวะดนตรี เจ้าบทเจ้ากลอน
เจ้าบทบาท เลียนแบบ แสดงสีหน้า อารมณ์เก่ง และมีธรรมชาติของความเก่ง ความสามารถ ด้านศิลปะ ดนตรี กีฬา เพราะเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า เด็กสมาธิ
สั้นพันธุ์แท้ ล้วนแต่ปัญญาดี ฉลาด เก่งหลายด้าน แต่หากลักษณะซน, เหม่อ
ขาดสมาธิ และหุนหันพลันแล่น มีมากจนก่อให้เกิดปัญหาการปรับตัว ทั้งด้าน
อารมณ์ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หรือมีปัญหาการเรียนมาก ทางการแพทย์
จึงจะถือว่าเป็น โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit/Hyperactivity Disorder)
หรือ ADHD

เข้าใจปัญหาการเรียน เด็กสมาธิสั้น กลุ่มที่ไม่มีปัญหาการเรียนมีมากกว่าครึ่ง
มีทั้งที่เรียนเก่งมากสอบได้ในระดับที่ 1-10 ได้ตั้งแต่เล็ก (แต่มีลักษณะของ
สมาธิสั้น)จนเข้ามหาวิทยาลัย ได้เกียรตินิยมจบปริญญาโท เอกจบแพทย์
หลายสาขา เป็นวิศวกรนักวิชาการ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และอีกหลาย
แขนงวิชาชีพที่ชอบ หรือรั้งท้ายในวัยเด็ก ช่วงประถมหรือมัธยมต้นเพราะเหม่อ
หรือคุย เล่นมาก ในห้องเรียน แต่กลับมาทำคะแนนได้ เป็นม้าตีนปลายในโค้ง
สุดท้าย (ม.ปลาย) สอบเอ็นทรานซ์ได้ จากความชอบ มีเป้าหมาย หรือเริ่มรู้
วิธีเรียน และใส่ใจพยายามมากขึ้น

กลุ่มที่มีปัญหาอ่านเขียนมาก พบได้ราวหนึ่งในสี่ของเด็กสมาธิสั้น
เกิดจากการขาดสมาธิในการฟังครู และ/หรือจากความสับสนเรื่องตัวอักษร เช่น
b เป็น d, p เป็น q, ค เป็น ด งงว่าหัวตัวอักษร หมุนเข้า หรือออกเวลาเขียน
หรือจากปัญหาสะกดคำไม่ถูก ตกหล่น ลายมือเขียนตามปกติจะเป็นตัวใหญ่ๆ
เล็กๆ แต่หากเป็นการคัดลายมือ ก็สามารถตั้งใจ เขียนได้สวยงามแบบ ตัว
อารักษ์ หากมีปัญหาสะกดคำไม่ได้ เรียกว่า ดิสเล็กเซีย (Dyslexia) หรือแอลดี
ด้านภาษา มักพบสมาธิสั้นแบบเหม่อมากกว่าซน พร้อมกับพรสวรรค์ด้านอื่น
เช่น วาดภาพ ปั้น ประดิษฐ์ การศึกษาที่เน้นอ่านเขียนมากไปตั้งแต่เล็ก ทำให้
เครียดทั้งพ่อ แม่ ครู และเด็ก จนลืมนึกถึงว่าการเรียนในชั้นอนุบาล คือ
การเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ในปัจจุบันยังพบลูกของแพทย์ ครู นักธุรกิจ
ผู้พิพากษา พยาบาล เครียดตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 ขีดเขียนกดดินสอย้ำ ลบรอย
เขียนผิดออกซ้ำๆ จนกระดาษขาดยุ่ย กัดเคี้ยวดินสอ

เรียนรู้แตกต่าง สร้างแรงจูงใจ ฝึกนิสัยให้ปรับตัว
การเรียนรู้ของเด็กสมาธิสั้นมาจากประสบการณ์ การสังเกต และปฏิบัติ มากกว่าฟังครูสอน หรืออ่านจากตำรา หากสิ่งที่เรียน นำไปปรับประยุกต์ใช้
แก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันได้ ก็จะจำได้เองโดยง่าย ถ้าสนใจเรื่องใดแม้จะ
เป็นเรื่องที่ยาก ก็มีสมาธิมาก อยากเรียน และเรียนรู้แบบวิเคราะห์เจาะลึกใน
เรื่องนั้น ได้ดี เป็นแฟนพันธุ์แท้ หรือเก่งเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ตนเองสนใจ
ตั้งแต่เล็ก

การสร้างแรงจูงใจ ในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเด็กสมาธิ
สั้น ให้รู้จักคิดเอง แก้ปัญหาเองเป็น ตั้งแต่ 3-4 ขวบปีแรก ฝึกให้รู้จักรอคอย ดึงพลังงานที่มีมากในตัว มาใช้ในชีวิตประจำวัน ให้ทำสิ่งต่างๆ ได้เองและ
ชื่นชมเขาบ่อย เป็นพื้นฐานแรงจูงใจที่นำไปใช้ด้านการเรียนได้ การฝึกนิสัย
ให้รักการอ่าน ให้ดูหนังสือที่มีภาพประกอบ มีสีสัน อ่านให้ฟัง ตั้งแต่ 2-3 ขวบ
ปีแรก โดยเฉพาะนิทาน การ์ตูน บทกลอน บทความ ง่ายๆ ช่วยให้เริ่มอ่านได้
ตั้งแต่อนุบาล 3 และอ่านเก่งมาก ป.2, ป.3 หาหนังสือประเภทต่างๆ ที่ชอบ
เช่น รามเกียรติ์ พระอภัยมณี แฮร์รี่ พอตเตอร์ อ่านเร็วแบบ scan กวาดสายตา
เก็บใจความเนื้อหา โดยข้ามการสะกดคำที่ยาก

แต่การเขียนมากๆ ประโยคยาวๆ จะต้องใช้สมาธิ รู้สึกยาก เมื่อยมือ เบื่อ
เขียนสะกดคำตกหล่น หรือผิดบ่อย จึงเขียนได้ช้า และเขียนตอบหรือบรรยาย
สั้นๆ หากเนื้อหาการเรียนมากทุกวิชา ให้เขียนมากๆ จากกระดานดำ เด็กสมาธิ
สั้นไม่สามารถจดจ่อในการเขียน จดไม่ทัน และจำในรายละเอียดมากๆ ไม่ได้
เริ่มเรียนไม่เข้าใจ ทำการบ้านไม่ได้ ซุกการบ้าน ผลการเรียนลดลงตั้งแต่ช่วง
ประถมปลาย หรือช่วงเปลี่ยนระดับเข้ามัธยมต้น การสอนในห้องเรียน ที่ต้อง
นั่งนิ่งๆ ฟังครูสอน ทุกชั่วโมง หรือจดตามมากๆ เด็กสมาธิสั้นปรับตัวได้ยาก
การปรับการเรียนการสอน อาจเป็นการบรรยายภาคทฤษฎีสัก 20 นาที แล้ว
แบ่งกลุ่มจัดกิจกรรมให้ฝึกปฏิบัติ ซักถาม ถกเถียงกัน แล้วนำเสนอ อภิปราย
ได้ขยับตัวเคลื่อนไหวให้มีชีวิตชีวา มีบรรยากาศของการมีส่วนร่วม

ต้นแบบการเรียนรู้ จินตนาการ และความมุ่งมั่นปฏิบัติ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ด้ชื่อว่า เป็นพวกวาดวิมานในอากาศ ฝันกลางวัน (Day Dreamer) ในระยะ
แรกที่นำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ ถูกวิจารณ์อย่างมาก ว่านึกวาดภาพฝัน
เอาเอง โดยไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริง ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า
"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" และยังให้ข้อคิดอีกว่า เด็กมีความกระหายที่จะเรียนรู้โดยธรรมชาติ การสอนเด็กจึงง่ายมาก ถ้าเพียงแต่สอนในสิ่งที่เขาต้องการเรียนรู้ ไม่ใช่สอนในสิ่งที่คนอื่น
คิดว่าเด็กควรเรียนรู้อะไร" ซึ่งแตกต่างจากระบบการสอน ที่ยึดหลักสูตรเป็นตัวตั้ง ให้เก่งทุกวิชา ในเนื้อหาที่มากเกินความจำเป็น ไม่ได้คำนึงถึงกลุ่มผู้เรียน ที่มีความถนัดเฉพาะ
ด้านแตกต่างกัน

ทอมัส เอดิสัน
นักประดิษฐ์ เจ้าของสิ่งประดิษฐ์ ที่จดลิขสิทธิ์นับพัน ในวัยเด็ก ซนจนป่วน
มีลักษณะของสมาธิสั้นแบบซน ครูรับมือไม่ไหว คิดว่าเป็นเด็กโง่ เอดิสันเคย
กล่าวให้ข้อคิดว่า "ปากกาและดินสอแต่เพียงอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่ทำให้
เกิดความสำเร็จ แต่การปฏิบัติและทดลองอยู่ตลอดเวลา ด้วยความมุ่งมั่น
สม่ำเสมอเท่านั้น ที่ทำให้เกิดผลงานได้"

เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล
รัฐบุรุษของอังกฤษในยุคสงครามโลก ชอบเล่นตุ๊กตาทหารในวัยเด็กแต่มีความ
ทุกข์ จากการเรียน เขียนไว้ว่า "ไม่มีครูคนใดสามารถสอนให้ข้าพเจ้าเรียนรู้
ได้หากสิ่งที่เรียนไม่ก่อให้เกิดจินตนาการไม่ทำให้ข้าพเจ้าสนใจ"

โนบิตะคุง คือ เด็กสมาธิสั้น
จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ตั้งแต่เยาว์วัย หากยังคงรักษาไว้ ส่งเสริม
และสานต่อไปได้จนเติบใหญ่ ก็สามารถสร้างผลงาน สร้างความสุขความสำเร็จ
ได้บนหนทางของวิชาชีพ เช่นเดียวกับเส้นทางที่บุคคลเก่งเลือกเดิน รวมถึง
โนบิตะ ตัวเอกในการ์ตูนโดราเอมอน ที่เป็นเด็กไม่เอาถ่าน ทำการบ้านไม่ได้
ผู้เขียนจินตนาการให้มีแมวหุ่นยนต์จากอนาคต ใช้ของวิเศษสารพัดเป็นตัวช่วย
ถ้าลองวิเคราะห์ดูจะพบว่า

โนบิตะ
มีลักษณะของเด็กสมาธิสั้น แบบเหม่อ มีนิสัยเอื่อยเฉื่อย ไม่สามารถทำเรื่อง
ทั่วๆ ไป ภายในเวลาที่เด็กคนอื่นทำได้ ปรับตัวไม่ได้ในเรื่องการเรียน ถูกไจ
แอนท์และซูเนโอะล้อ ว่าเป็นไอ้ทึ่มโนบิตะเคยคิดว่าพ่อแม่ไม่อยากให้เขา
เกิดมา เพราะดุว่าเขาบ่อยมาก เรื่องตั้งใจทำการบ้านไม่ได้ และมีความคิด
ว่า เด็กคงจะมีความสุขมาก หากโลกนี้ไม่มีโรงเรียนแต่เบื้องหลังความล้มเหลว
โนบิตะ ยังมีความฝัน มุ่งมั่น ด้วยจิตใจที่ดีงาม และมีน้ำใจต่อเพื่อน

ฟูจิโมโต ฮิโรชิ โนบิตะ
ก็คือตัวตนของผู้เขียนการ์ตูนชุดโดราเอมอน คุณฟูจิโมโต ฮิโรชิ ในวัยเด็ก มีพรสวรรค์ในเรื่องจินตนาการ วาดรูปเก่งตั้งแต่เล็ก แต่อาจไม่มีวิชาไหนที่
เขาสนใจเรียน หรือทำได้ดี นอกจากการวาดภาพ ซึ่งมีสาเหตุทั้งจากสมาธิสั้น และ/หรือมีปัญหาแอลดี (ด้านภาษา) ระบบการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นเอง
ในสมัยนั้นคงไม่รู้จัก สมาธิสั้น/แอลดีว่าเป็นอย่างไร ผู้เขียนจึงต้องแอบวาด
การ์ตูนไม่ให้พ่อรู้ กลัวว่าพ่อจะดุ เด็กเก่งของสมองซีกขวา ในระบบการศึกษา
ของสมองซีกซ้าย ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการที่ไร้ขอบเขต และการมอง
เห็นภาพในใจ ที่เคลื่อนไหวสัมพันธ์กันในมิติต่างๆ (เก่งด้านมิติสัมพันธ์) คือ
วิถีแห่งการเรียนรู้ที่แตกต่างของเด็กสมาธิสั้น อาศัยทักษะของสมองซีกขวา
จึงเก่งในการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ มากกว่าเชิงวิชาการหรือทฤษฎี เช่นเดียวกับ
การ์ตูนชุด สนู้ปปี้, ชาร์ลี บราวน์, ผู้เขียนคือ ชาร์ล เอ็ม ชูลซ์ วาดตัวการ์ตูน
เด็กเล่นปากกา เล่นดินสอ ในห้องเรียน (ลักษณะของสมาธิสั้น)สับสน เครื่อง
หมายถูก ผิดที่ใช้ตัวอักษร T หรือ F แทน และอ่าน เขียนไม่ค่อยถูก (ลักษณะ
ของแอลดี) การ์ตูนเรื่องแรกที่วาด เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กเล่นว่าว แต่ว่าวไม่ลอย
ติดลม คือ ตัวแทนของเด็กที่ล้มเหลวในระบบการศึกษา ตรงกับวัยเด็กของ
คนเขียน ที่เรียนแย่ทุกวิชา แต่ด้วยความชอบวาดรูป จบแล้วจึงเรียนต่อวิชา
วาดรูปทางไปรษณีย์ ผลงานของเขาในเวลาต่อมาได้รับการพิมพ์ เผยแพร่ 22
ภาษา 75 ประเทศ

สตีเว่น สปีลเบิร์ก
ผู้กำกับภาพยนตร์ดัง พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด สร้างชื่อเสียงจากผลงานภาพยนตร์
เรื่อง Jaws ในวัย 28 ปี มีรายได้ 470 ล้านดอลลาร์ และผลงานเรื่อง อีที ที่
ครองใจเด็กทั่วโลก ในวัยเด็กอายุ 10 ปีต้องพักการเรียน และถูกส่งกลับเรียน
ในชั้นเรียนพิเศษ เป็นเด็กที่เรียนรู้ช้า เพราะความสามารถด้านการอ่าน เขียน
ไม่ดีนัก

เชิด ทรงศรี
คุณเชิด ทรงศรี ผู้กำกับภาพยนตร์คนไทย มีผลงานเป็นที่รู้จัก ในระดับ นานา
ชาติ จากภาพยนตร์เรื่อง "แผลเก่า" ได้รับการยกย่องจากองค์กรต่างๆ ในสาขา
ภาพยนตร์ และนักวิจารณ์ภาพยนตร์ทั่วโลก ให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ คลาสสิค
ของโลก ท่านเคยให้สัมภาษณ์ว่า ชอบหลบไปอยู่ตามท้องทุ่ง ลำธารมากกว่า
อยู่ในห้องเรียน ทะเลาะกับย่า เรื่องโดดเรียนบ่อย ตอนประกาศผล การเรียนชั้น
ป.3 สอบได้ 38% ครูใหญ่เรียกให้ยืนบนโต๊ะ ให้นักเรียนทั้งชั้นดูตัว

Jack Horner
ที่ปรึกษาของสปีลเบิร์กในภาพยนตร์ จูราสสิก ปาร์ค วัยเด็กสนใจ ขุดซาก
ไดโนเสาร์ตั้งแต่อายุ 8 ปี เข้าเรียนวิทยาลัยในสาขาที่ชอบนาน 7 ปี แต่สอบ
ไม่ผ่าน ไม่ได้ใบปริญญาบัตร เพราะความบกพร่องของการอ่าน เขียน มีผลงาน
ขุดพบซากของไดโนเสาร์ที-เร็กซ์ (Tyrannosaurs Rex) มีแล็บที่มีเครื่องมือ
ทันสมัย ในพิพิธภัณฑ์ที่มอนตานาเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ สอนนักศึกษาระดับ
ปริญญา พิธีกร ดารา นักร้อง นักแสดง นักดนตรี นักกีฬา จิตรกร วาทยกร ที่มี
ชื่อเสียง ผู้คนในวงการข่าว วงการบันเทิง การแสดง การออกแบบรวมถึง
บุคคลของโลกทั้งในสาขาวิทยาศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ วัยเด็ก มีลักษณะ
ไฮเปอร์ ทั้งซนและเหม่อ (ฝันกลางวัน) หรืออ่าน สะกดคำติดขัด พบเห็นกัน
อยู่มากมาย สร้างความสุข และความภูมิใจให้กับตนเองในวิชาชีพได้ โอกาส
แห่งความสำเร็จของเด็กสมาธิสั้น บนหนทางของอัจฉริยะหรือล้มเหลวเป็นผู้แพ้
ขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง ครูและระบบการศึกษา เข้าใจธรรมชาติ ของการเรียนรู้ที่
แตกต่าง (Learning Diferrence) ไม่มองผิด คิดว่าเป็นเด็กที่แย่มีแต่ความ
บกพร่อง(Learning Disability) จนไม่อาจเรียนรู้ในระบบได้ หรือเข้าใจผิดว่า
เพราะความเกียจคร้าน ไม่พยายาม ไม่ใส่ใจเรียน

IEP ขยายกรอบการเรียนรู้ บูรณาการสู่พหุปัญญา
ระบบการศึกษาและสังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ชื่นชมแต่นักเรียน ที่เรียนรู้
จากการจำ หรืออ่าน เขียนได้มาก ตอบข้อเขียนเก่ง ซึ่งเป็นทักษะของสมอง
ซีกซ้าย เพื่อให้ได้คะแนนสูง สอบคัดเลือกผ่าน ได้โอกาสการศึกษาที่ดีกว่า ในระดับอุดมศึกษา แต่มองข้ามความสำคัญของทักษะความเก่ง หรือพรสวรรค์
ด้านพหุปัญญาของสมองซีกขวา ที่เด่นในเด็กสมาธิสั้น ในกลุ่มที่มีปัญหา
บกพร่องด้านการอ่าน เขียน การค้นหาสาเหตุของปัญหาการเรียน ตั้งแต่ชั้น
ประถมต้น เพื่อช่วยเหลือให้คำปรึกษา แก้ไขได้ถูกทาง ส่งเสริมความสามารถ
ในด้านต่างๆ ลดการบ้านหรืองานที่ต้องเขียนมากๆ ในห้องเรียนเน้นความเข้าใจ
ที่เกิดจากการอ่าน หรือฟังแล้วจับเนื้อหาประเด็นหลักให้ได้ดีก่อนที่จะเน้นการ
สะกดคำ หรือเขียนได้ดี โดยไม่ให้ผิดเลย ซึ่งทำได้ยากแม้ในช่วงประถมปลาย

การจัดแผนการสอนรายบุคคล (Individual Education Plan)
หรือการช่วยเหลือเป็นกลุ่ม ช่วยให้สามารถปรับ บูรณาการทั้งเนื้อหาและ
กระบวนการจัดการเรียนการสอน ให้น่าสนใจ และสอดคล้องกับทักษะที่เด็ก
มีความชอบ ถนัดอยู่ก่อน ให้เกิดสมาธิ เกิดแรงจูงใจ สร้างผลงานได้ต่อเนื่อง
เป็นเสาหลักของความภูมิใจ และช่วยเหลือ ปรับแก้ไขความบกพร่องของการ
อ่าน เขียน ให้เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ ได้จากเรื่องราวที่ชอบสนใจใช้ประโยชน์
จากสื่อมัลติมีเดียช่วยสอน ในรายที่มีปัญหาด้านการปรับตัวรุนแรง ขาดการ
ควบคุมตนเอง ทั้งด้านอารมณ์พฤติกรรม ควรได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์
และบุคลากรในวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือการปรับพฤติกรรม ร่วมกับ
การบำบัดรักษาด้วยยาหากจำเป็น ท้ายที่สุดของบทความนี้ ผู้เขียนขอฝาก
กำลังใจให้กับผู้ปกครอง คุณครูและบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษ
กลุ่มนี้ ไม่ท้อถอยต่อความยากลำบาก ในระยะแรกของการหล่อเลี้ยงต้นกล้า
แห่งปัญญา อัจฉริยะด้านมิติสัมพันธ์ และความคิดสร้างสรรรค์ พลิกผันวิกฤต
ให้เป็นโอกาส มองเห็นคุณค่า และความดีที่มีอยู่มาก ของเด็กสมาธิสั้นทุกคน.


ที่มา : http://www.oknation.net/
วันที่ 13 มกราคม 2551
http://www.mindbrainedu.com/brain.html

2. สมองวัยรุ่น

3. สมองคนทำงาน

4. สมองวัยเกษียน
สมอง เรียนรู้ได้ไม่จำกัด

เมื่อก่อน คนเรามักมีความเชื่อว่า สมองเรียนรู้ได้ดีที่สุดถึงแค่อายุเดียว พอผ่านวัยเด็กไปแล้วสมองก็ทำงาน ลดระดับลงเรื่อยๆ พอเข้าวัยชรา สมองก็เสื่อมสภาพ ทำอะไรไม่ค่อยได้.
"สมอง เรียนรู้ได้ไ่ม่จำกัด"
เมื่อก่อน คนเรามักมีความเชื่อว่า สมองเรียนรู้ได้ดีที่สุดถึงแค่อายุเดียว
พอผ่านวัยเด็กไปแล้วสมองก็ทำงานลดระดับลงเรื่อยๆ พอเข้าวัยชรา สมอง
ก็เสื่อมสภาพ ทำอะไรไม่ค่อยได้ คิดอะไรไม่ค่อยออก เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็ไม่ได้
หนูดีทำงานด้านสมองและการพัฒนาอัจฉริยภาพ ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลาย
ตาที่เข้ามา เพราะอยากเรียนรู้วิธีการพัฒนาสมองของตนเอง ทุกคนจะมีคำถาม
แปลกๆมากมายเกี่ยวกับสมอง แต่คำถามหนึ่งซึ่งหนูดีได้ยินเป็น ประจำเลย
ก็คือ “ดิฉัน/ผม ทำงานหนักมากช่วงนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก คิดว่าสมองคงค่อย
เสื่อมแล้วล่ะ มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง” ทุกครั้งที่ได้ยินหนูดีก็จะขำปนเป็นห่วงว่า
คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสมองของตนเองผิดๆ อยู่พอสมควร

นอกจากความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของตัวเองผิดแล้วส่วนใหญ่ก็ยังมี
ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของลูกผิดอีกด้วยนะคะ เพราะเรามักได้รับรู้เรื่อง “หน้าต่างการเรียนรู้” หรือ Window of Opportunities
กันเป็นประจำว่า ถ้าไม่สอนเด็กเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก่อนอายุเท่านั้นเท่านี้แล้ว
เด็กจะไม่มีโอกาสเรียนรู้เรื่องนั้นๆ ได้เลยจนวันตาย เช่น ถ้าไม่เรียนภาษา
ที่สองก่อนอายุสิบ สองปี แล้วเด็กจะไม่มีวันได้สำเนียงอย่างเจ้าของภาษาไป
ตลอดชีวิต…ซึ่งจริงๆ แล้ว เรื่อง “หน้าต่างการเรียนรู้” นี้ เป็นเรื่อง ที่มีส่วน
ถูกต้องอยู่บ้างแต่สมองของเราไม่ได้แบ่งแยกเป็นดำกับขาวขนาดนั้นค่ะ
เรื่องไหนที่เราพลาดการเรียนรู้ ไปในวัยหนึ่งเราก็สามารถที่จะยังเรียนรู้เรื่องนั้น
ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่า มันอาจเรียนยากขึ้น ก็เท่านั้นเอง

ยกตัวอย่างผู้ใหญ่หลายท่านที่ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ
แต่เมื่อโตขึ้นสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ ก็ต้องมานั่งเรียนภาษา
กันใหม่แทบจะทั้งหมดบางท่านต้องเรียนอังกฤษ บางท่านเป็นภาษาญี่ปุ่น หรือฝรั่งเศสก็เห็นเรียนกันได้ในระดับใช้การได้ดีทีเดียว ได้ปริญญาโท ปริญญาเอก ในประเทศนั้นๆ ติดมือกลับมากันเป็นแถวซึ่งเมื่อสอบถามดูก็พบว่า
การเรียนนั้น ยากกว่าเรียนตอนเด็กๆ แน่นอนเพราะกระบวน การรับข้อมูลของ
เราไม่อ่อนนุ่มยืดหยุ่นเท่าของเด็กแต่ก้ไม่ได้เรียนยากเย็นขนาดนั้น หรือในกรณี
การเรียนเต้น เช่น บัลเลต์ ซึ่งจะมีความเชื่อกันมานานว่า ควรเรียนตั้งแต่เด็กๆ
จึงจะดีที่สุด ตัวหนูดีเองก็เรียนบัลเลต์แต่เด็กและก็คิดว่า มันเป็นประโยชน์มาก
ต่อท่าทางและบุคลิกภาพในวัยผู้ใหญ่ ช่วยให้เราไปเรียนเต้นในด้าน อื่นได้ดี
เดินเหินสง่า หลังตรง แต่เมื่อได้รับรู้ถึงผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ที่มาเริ่มเรียนเต้นเอา
ตอนโตๆ แล้ว ก็ต้องทึ่ง เช่นคุณจรินทร์ ยุทธศาสตร์โกศล ก็มาเริ่มเรียนบัลเลต์
เอาตอนอายุประมาณห้าสิบปี จนเต้นได้เก่งมากเท่ากับนักบัลเลต์มืออาชีพ
มีงานแสดงทั้งในเมืองไทย และต่างประเทศ เป็นที่นับถือเลยทีเดียว

ทั้งหมดที่หนูดีชวนคุยมา ก็เพื่อจะบอกว่า สมองของเรานั้นมี
“ความยืดหยุ่น” หรือ Brain Plasticity อยู่สูง มาก ถ้าดูจากศัพท์ ภาษา
อังกฤษแล้ว คำว่าพลาสติก คือ ยืดได้ ขยายได้ เปลี่ยนแปลงได้ ตลอดเวลา…
จริงๆ แล้ว สมองของคนเราน่าทึ่งกว่าที่คิดมหาศาล ก็เพราะคำว่า พลาสติกนี่
เองค่ะ

อย่างที่ใครๆ เชื่อกันว่า สมองหยุดการเรียนรู้ในวัยใดวัยหนึ่งคำพูดนี้
ผู้เชี่ยวชายด้านสมองต้องขอออกมาค้านกันแบบหัวชนฝาเลยนะคะเพราะว่างาน
วิจัยมันบอกชัดเจนมากว่า สมองของคนเรามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่เป็น
ประจำแทบจะทุกวันเลยทีเดียว เพราะสมองของเราเป็นอวัยวะที่พร้อม เปลี่ยน
แปลงตัวเองตามสภาวะแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา ทุกห้วงลมหายใจ ของเราเลย
ค่ะ การที่สมองพร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติของชาติพันธุ์หนึ่งๆ
นะคะ แต่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์อย่างพวกเรา ซึ่งถ้ามองในเชิงของ
โลกแล้ว ก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งไม่ต่างจากนกกระสา หรือเสือดาว
แต่มันกลับทำให้เราครองโลกได้อย่างทุกวันนี้ บอกได้ว่า ไม่ธรรมดาเลยค่ะ…
ลองนึกดูนะคะว่า มนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้และปรับตัวมากมายขนาดไหน
เปรียบเทียบกัน ถ้าเราเอานกเขตร้อนไปปล่อยในขั้วโลกเหนือ รับรองว่านก
ตัวนั้นต้องตายภายในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าลองเอาคนสักคนหนึ่งไปปล่อย
รับรองว่าคนๆนั้นจะต้องหาทุกวิถีทางที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ไม่ว่าจะเป็น
การไปล่าสัตว์เอามากิน แล่ขนสัตว์ขั้วโลกเหนือหนาๆ มาห่มตัว มาทำเป็น
รองเท้ารวมไปถึงการสร้างที่อยู่อาศัยที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ตัวเราสูงที่สุด
ว่าไปแล้ว ทักษะในการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์แปลกใหม่ เป็นปัจจัยสำคัญ
ที่ทำให้มนุษย์เราแพร่ขยายไปจนทั่วดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ตั้งแต่เส้นศูนย์สูตร
ไปจนจรดขั้วโลก เหนือและขั้วโลกใต้ อย่างไม่เคยมีสัตว์โลกชนิดไหน ทำได้
ขนาดนี้เลย

“สมองมนุษย์ถูกสร้างมาให้เรียนรู้และปรับสภาพสมองตลอดชีวิตไม่มีวันไหน
เลย ที่สมองจะหยุดการเปลี่ยนแปลงปรับตัว และยิ่งสมอง เปลี่ยนแปลงบ่อย
ยิ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ง่ายขึ้น การสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ ง่ายมาก
แปลได้ง่ายๆ ว่า ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไร เรายิ่งเรียนรู้ได้มากขึ้นอีกเท่านั้น
เพราะสมองไม่เหมือนเงินซึ่งยิ่งใช้ยิ่งหมดไป แต่เส้นใยสมองยิ่งใช้มาก ยิ่งมี
มากขึ้น ไม่จำกัด”

สิ่งที่ทำให้เราทำได้แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ อย่างชัดเจน ก็คือ “ความยืดหยุ่น” ของสมองเรานี่ แม้ในโลกปัจจุบัน ที่เราเลิกอาศัย อยู่ในถ้ำ
ไปนานหลายพันปีแล้ว แต่สมองของเราก็ยังทำงานใกล้เคียงเดิมทุกประการ
ในเวลาที่เราอยู่รอบถ้ำ สิ่งที่จำเป็นต่อการรอดชีวิตที่สุด ก็คือการประเมินสถาน
การณ์รอบตัวด้วยความรวดเร็วแม่นยำ และการปรับพฤติกรรมตัวเราให้สอด
คล้องกับสถานการณ์นั้น

ในยุคปัจจุบันที่เราอยู่อาศัยเป็นสังคมเมืองมานานแล้ว แต่ในเชิงสมอง ถือ
ว่ายังไม่นานเลย ดังนั้น เราจึงยังเป็นเจ้าของสมองยุคเก่าอยู่แทบจะไม่เปลี่ยน
แปลง แต่ในยุคนี้ เราต้องเข้าโรงเรียน ต้องหิ้วคอมพิวเตอร์ไป ทำงานติดต่อ
ลูกค้าต่างประเทศ จัดเตรียมผลิตภัณฑ์ให้ส่งตรงเวลา และอื่นๆอีกมากมายที่
เราไม่จำเป็นต้องทำเลยเวลาอยู่ในถ้ำ แต่สมองของเรายังคงถูกสั่งการให้
ประเมินสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วแม่นยำตามเดิมนี่เอง จึงเป็นที่มาของคำว่า
“การเรียนรู้ตลอดชีวิต” เพราะในความเป็นจริงแล้ว สมองมนุษย์ถูกสร้างมาให้
เรียนรูและประสภาพสมองตลอดชีวิต ไม่มีวันไหนเลยที่สมองจะหยุดการ
เปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ง่ายขึ้น การสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ ง่ายมากแปลได้ง่ายๆ
ว่า ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไร เรายิ่งเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้นอีกเท่านั้นเพราะสมอง
ไม่เหมือนเงิน ซึ่งยิ่งใช้ยิ่งมีมากขึ้น ไม่จำกัด

ดังนั้น กลับมาที่คำถามยอดฮิตว่า คนอายุมากขึ้น สมองทำงานลด ประสิทธิ
ภาพ ลงหรือเปล่านั้น ตอบได้เลยค่ะว่า ไม่มีทางแน่นอน ถ้าเราฝึกใช้สมอง
ของเราเป็นประจำ คิดอะไรใหม่ๆ เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อยู่เรื่อย เท่ากับ เราช่วย
ชะลออายุสมองให้เป็นเด็กได้ตลอดกาล เพราะสมองคนแก่ที่ชอบเรียนรู้
กระตือรือร้น นั้นมีลักษณะคล้ายสมองเด็ก แต่สมองเด็กวัยรุ่นที่นอนดึกดื่มเหล้า
และใช้ชีวิต ด้วยความเครียดกลับมีลักษณะคล้ายสมองคนแก่อย่างไม่น่า เชื่อ
อายุสมองจึงอยู่ที่เราใช้การเขาอย่างไร มากกว่าอายุที่แปรเปลี่ยนไปตาม
ปฏิทิน

เมื่อกลับมาดูสมองของลูกในวัยเล็ก ซึ่งเป็นช่วงที่การเปลี่ยนแปลงและ
เรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติที่สุดนั้น เรายิ่งต้องระมัดระวัง
คัดสรรแต่สิ่งที่เป็นคุณให้เขา เพราะหนูดีเคยได้ยินอาจารย์คนเก่งท่านหนึ่งพูด
ไว้นานแล้วว่า สมองเด็กก็เหมือนบัญชีธนาคารนั่นล่ะค่ะ เราฝากอะไรไว้อีกสิบปี
ให้หลัง เราก็ได้รับคืนพร้อมดอกเบี้ยทบต้นเลยทีเดียวดังนั้นหมั่นดูแลวัตถุดิบ
ที่เราฝากกับธนาคารเคลื่อนที่นี้ไว้ให้ดินนะคะเพราะเวลาสิบปีนั้นว่าไปก็สั้นนิด
เดียว และอย่าลืมใส่วัตถุดิบใหม่ๆ ดีๆ ให้กับสมองเราด้วย เพราะเราสามารถ
ชะลออายุสมองของเราได้ให้ไม่ต่างมากนักกับกับลูกน้อยของเราอีกด้วย
เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกับลูกได้ โดยไม่มีช่องว่างอะไรระหว่างวัย
(ของสมอง) มากมายจนเกินไปนัก…เพราะสมองที่ดีที่สุดก็คือสมองที่เรียนรู้
และปรับตัวได้รวดเร็วค่ะ

ที่มา : นิยสารบันทึกคุณแม่ No.168 July 2007
วันที่ 1 กันยายน 2550


ป้องกันสมองเสื่อม

หากอยากรู้ว่าตัวเราเองเข้าข่ายอาการสมองเสื่อมหรือยัง ก็ต้องรู้จักอาการ เริ่มต้นของสมองเสื่อม ซึ่งมีดังนี้ ลืมง่าย หาของไม่พบ ลืมของเป็นประจำ ลืม เรื่องสำคัญเป็นประจำ้...
"สมอง เรียนรู้ได้ไ่ม่จำกัด"
เมื่อก่อน คนเรามักมีความเชื่อว่า สมองเรียนรู้ได้ดีที่สุดถึงแค่อายุเดียว
พอผ่านวัยเด็กไปแล้วสมองก็ทำงานลดระดับลงเรื่อยๆ พอเข้าวัยชรา สมอง
ก็เสื่อมสภาพ ทำอะไรไม่ค่อยได้ คิดอะไรไม่ค่อยออก เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็ไม่ได้
หนูดีทำงานด้านสมองและการพัฒนาอัจฉริยภาพ ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลาย
ตาที่เข้ามา เพราะอยากเรียนรู้วิธีการพัฒนาสมองของตนเอง ทุกคนจะมีคำถาม
แปลกๆมากมายเกี่ยวกับสมอง แต่คำถามหนึ่งซึ่งหนูดีได้ยินเป็น ประจำเลย
ก็คือ “ดิฉัน/ผม ทำงานหนักมากช่วงนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก คิดว่าสมองคงค่อย
เสื่อมแล้วล่ะ มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง” ทุกครั้งที่ได้ยินหนูดีก็จะขำปนเป็นห่วงว่า
คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสมองของตนเองผิดๆ อยู่พอสมควร

นอกจากความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของตัวเองผิดแล้วส่วนใหญ่ก็ยังมี
ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของลูกผิดอีกด้วยนะคะ เพราะเรามักได้รับรู้เรื่อง “หน้าต่างการเรียนรู้” หรือ Window of Opportunities
กันเป็นประจำว่า ถ้าไม่สอนเด็กเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก่อนอายุเท่านั้นเท่านี้แล้ว
เด็กจะไม่มีโอกาสเรียนรู้เรื่องนั้นๆ ได้เลยจนวันตาย เช่น ถ้าไม่เรียนภาษา
ที่สองก่อนอายุสิบ สองปี แล้วเด็กจะไม่มีวันได้สำเนียงอย่างเจ้าของภาษาไป
ตลอดชีวิต…ซึ่งจริงๆ แล้ว เรื่อง “หน้าต่างการเรียนรู้” นี้ เป็นเรื่อง ที่มีส่วน
ถูกต้องอยู่บ้างแต่สมองของเราไม่ได้แบ่งแยกเป็นดำกับขาวขนาดนั้นค่ะ
เรื่องไหนที่เราพลาดการเรียนรู้ ไปในวัยหนึ่งเราก็สามารถที่จะยังเรียนรู้เรื่องนั้น
ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่า มันอาจเรียนยากขึ้น ก็เท่านั้นเอง

ยกตัวอย่างผู้ใหญ่หลายท่านที่ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ
แต่เมื่อโตขึ้นสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ ก็ต้องมานั่งเรียนภาษา
กันใหม่แทบจะทั้งหมดบางท่านต้องเรียนอังกฤษ บางท่านเป็นภาษาญี่ปุ่น หรือฝรั่งเศสก็เห็นเรียนกันได้ในระดับใช้การได้ดีทีเดียว ได้ปริญญาโท ปริญญาเอก ในประเทศนั้นๆ ติดมือกลับมากันเป็นแถวซึ่งเมื่อสอบถามดูก็พบว่า
การเรียนนั้น ยากกว่าเรียนตอนเด็กๆ แน่นอนเพราะกระบวน การรับข้อมูลของ
เราไม่อ่อนนุ่มยืดหยุ่นเท่าของเด็กแต่ก้ไม่ได้เรียนยากเย็นขนาดนั้น หรือในกรณี
การเรียนเต้น เช่น บัลเลต์ ซึ่งจะมีความเชื่อกันมานานว่า ควรเรียนตั้งแต่เด็กๆ
จึงจะดีที่สุด ตัวหนูดีเองก็เรียนบัลเลต์แต่เด็กและก็คิดว่า มันเป็นประโยชน์มาก
ต่อท่าทางและบุคลิกภาพในวัยผู้ใหญ่ ช่วยให้เราไปเรียนเต้นในด้าน อื่นได้ดี
เดินเหินสง่า หลังตรง แต่เมื่อได้รับรู้ถึงผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ที่มาเริ่มเรียนเต้นเอา
ตอนโตๆ แล้ว ก็ต้องทึ่ง เช่นคุณจรินทร์ ยุทธศาสตร์โกศล ก็มาเริ่มเรียนบัลเลต์
เอาตอนอายุประมาณห้าสิบปี จนเต้นได้เก่งมากเท่ากับนักบัลเลต์มืออาชีพ
มีงานแสดงทั้งในเมืองไทย และต่างประเทศ เป็นที่นับถือเลยทีเดียว

ทั้งหมดที่หนูดีชวนคุยมา ก็เพื่อจะบอกว่า สมองของเรานั้นมี
“ความยืดหยุ่น” หรือ Brain Plasticity อยู่สูง มาก ถ้าดูจากศัพท์ ภาษา
อังกฤษแล้ว คำว่าพลาสติก คือ ยืดได้ ขยายได้ เปลี่ยนแปลงได้ ตลอดเวลา…
จริงๆ แล้ว สมองของคนเราน่าทึ่งกว่าที่คิดมหาศาล ก็เพราะคำว่า พลาสติกนี่
เองค่ะ

อย่างที่ใครๆ เชื่อกันว่า สมองหยุดการเรียนรู้ในวัยใดวัยหนึ่งคำพูดนี้
ผู้เชี่ยวชายด้านสมองต้องขอออกมาค้านกันแบบหัวชนฝาเลยนะคะเพราะว่างาน
วิจัยมันบอกชัดเจนมากว่า สมองของคนเรามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่เป็น
ประจำแทบจะทุกวันเลยทีเดียว เพราะสมองของเราเป็นอวัยวะที่พร้อม เปลี่ยน
แปลงตัวเองตามสภาวะแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา ทุกห้วงลมหายใจ ของเราเลย
ค่ะ การที่สมองพร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติของชาติพันธุ์หนึ่งๆ
นะคะ แต่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์อย่างพวกเรา ซึ่งถ้ามองในเชิงของ
โลกแล้ว ก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งไม่ต่างจากนกกระสา หรือเสือดาว
แต่มันกลับทำให้เราครองโลกได้อย่างทุกวันนี้ บอกได้ว่า ไม่ธรรมดาเลยค่ะ…
ลองนึกดูนะคะว่า มนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้และปรับตัวมากมายขนาดไหน
เปรียบเทียบกัน ถ้าเราเอานกเขตร้อนไปปล่อยในขั้วโลกเหนือ รับรองว่านก
ตัวนั้นต้องตายภายในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าลองเอาคนสักคนหนึ่งไปปล่อย
รับรองว่าคนๆนั้นจะต้องหาทุกวิถีทางที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ไม่ว่าจะเป็น
การไปล่าสัตว์เอามากิน แล่ขนสัตว์ขั้วโลกเหนือหนาๆ มาห่มตัว มาทำเป็น
รองเท้ารวมไปถึงการสร้างที่อยู่อาศัยที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ตัวเราสูงที่สุด
ว่าไปแล้ว ทักษะในการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์แปลกใหม่ เป็นปัจจัยสำคัญ
ที่ทำให้มนุษย์เราแพร่ขยายไปจนทั่วดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ตั้งแต่เส้นศูนย์สูตร
ไปจนจรดขั้วโลก เหนือและขั้วโลกใต้ อย่างไม่เคยมีสัตว์โลกชนิดไหน ทำได้
ขนาดนี้เลย

“สมองมนุษย์ถูกสร้างมาให้เรียนรู้และปรับสภาพสมองตลอดชีวิตไม่มีวันไหน
เลย ที่สมองจะหยุดการเปลี่ยนแปลงปรับตัว และยิ่งสมอง เปลี่ยนแปลงบ่อย
ยิ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ง่ายขึ้น การสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ ง่ายมาก
แปลได้ง่ายๆ ว่า ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไร เรายิ่งเรียนรู้ได้มากขึ้นอีกเท่านั้น
เพราะสมองไม่เหมือนเงินซึ่งยิ่งใช้ยิ่งหมดไป แต่เส้นใยสมองยิ่งใช้มาก ยิ่งมี
มากขึ้น ไม่จำกัด”

สิ่งที่ทำให้เราทำได้แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ อย่างชัดเจน ก็คือ “ความยืดหยุ่น” ของสมองเรานี่ แม้ในโลกปัจจุบัน ที่เราเลิกอาศัย อยู่ในถ้ำ
ไปนานหลายพันปีแล้ว แต่สมองของเราก็ยังทำงานใกล้เคียงเดิมทุกประการ
ในเวลาที่เราอยู่รอบถ้ำ สิ่งที่จำเป็นต่อการรอดชีวิตที่สุด ก็คือการประเมินสถาน
การณ์รอบตัวด้วยความรวดเร็วแม่นยำ และการปรับพฤติกรรมตัวเราให้สอด
คล้องกับสถานการณ์นั้น

ในยุคปัจจุบันที่เราอยู่อาศัยเป็นสังคมเมืองมานานแล้ว แต่ในเชิงสมอง ถือ
ว่ายังไม่นานเลย ดังนั้น เราจึงยังเป็นเจ้าของสมองยุคเก่าอยู่แทบจะไม่เปลี่ยน
แปลง แต่ในยุคนี้ เราต้องเข้าโรงเรียน ต้องหิ้วคอมพิวเตอร์ไป ทำงานติดต่อ
ลูกค้าต่างประเทศ จัดเตรียมผลิตภัณฑ์ให้ส่งตรงเวลา และอื่นๆอีกมากมายที่
เราไม่จำเป็นต้องทำเลยเวลาอยู่ในถ้ำ แต่สมองของเรายังคงถูกสั่งการให้
ประเมินสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วแม่นยำตามเดิมนี่เอง จึงเป็นที่มาของคำว่า
“การเรียนรู้ตลอดชีวิต” เพราะในความเป็นจริงแล้ว สมองมนุษย์ถูกสร้างมาให้
เรียนรูและประสภาพสมองตลอดชีวิต ไม่มีวันไหนเลยที่สมองจะหยุดการ
เปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ง่ายขึ้น การสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ ง่ายมากแปลได้ง่ายๆ
ว่า ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไร เรายิ่งเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้นอีกเท่านั้นเพราะสมอง
ไม่เหมือนเงิน ซึ่งยิ่งใช้ยิ่งมีมากขึ้น ไม่จำกัด

ดังนั้น กลับมาที่คำถามยอดฮิตว่า คนอายุมากขึ้น สมองทำงานลด ประสิทธิ
ภาพ ลงหรือเปล่านั้น ตอบได้เลยค่ะว่า ไม่มีทางแน่นอน ถ้าเราฝึกใช้สมอง
ของเราเป็นประจำ คิดอะไรใหม่ๆ เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อยู่เรื่อย เท่ากับ เราช่วย
ชะลออายุสมองให้เป็นเด็กได้ตลอดกาล เพราะสมองคนแก่ที่ชอบเรียนรู้
กระตือรือร้น นั้นมีลักษณะคล้ายสมองเด็ก แต่สมองเด็กวัยรุ่นที่นอนดึกดื่มเหล้า
และใช้ชีวิต ด้วยความเครียดกลับมีลักษณะคล้ายสมองคนแก่อย่างไม่น่า เชื่อ
อายุสมองจึงอยู่ที่เราใช้การเขาอย่างไร มากกว่าอายุที่แปรเปลี่ยนไปตาม
ปฏิทิน

เมื่อกลับมาดูสมองของลูกในวัยเล็ก ซึ่งเป็นช่วงที่การเปลี่ยนแปลงและ
เรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติที่สุดนั้น เรายิ่งต้องระมัดระวัง
คัดสรรแต่สิ่งที่เป็นคุณให้เขา เพราะหนูดีเคยได้ยินอาจารย์คนเก่งท่านหนึ่งพูด
ไว้นานแล้วว่า สมองเด็กก็เหมือนบัญชีธนาคารนั่นล่ะค่ะ เราฝากอะไรไว้อีกสิบปี
ให้หลัง เราก็ได้รับคืนพร้อมดอกเบี้ยทบต้นเลยทีเดียวดังนั้นหมั่นดูแลวัตถุดิบ
ที่เราฝากกับธนาคารเคลื่อนที่นี้ไว้ให้ดินนะคะเพราะเวลาสิบปีนั้นว่าไปก็สั้นนิด
เดียว และอย่าลืมใส่วัตถุดิบใหม่ๆ ดีๆ ให้กับสมองเราด้วย เพราะเราสามารถ
ชะลออายุสมองของเราได้ให้ไม่ต่างมากนักกับกับลูกน้อยของเราอีกด้วย
เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกับลูกได้ โดยไม่มีช่องว่างอะไรระหว่างวัย
(ของสมอง) มากมายจนเกินไปนัก…เพราะสมองที่ดีที่สุดก็คือสมองที่เรียนรู้
และปรับตัวได้รวดเร็วค่ะ

ที่มา : นิยสารบันทึกคุณแม่ No.168 July 2007
วันที่ 1 กันยายน 2550


5. สมองที่มีความผิดปรกติ

สมอง : Sensual, Expressive, Analytical and Curious

http://www.mindbrainedu.com/brain.html

ไม่มีความคิดเห็น: