6.2.51

เยาวราช

8 ที่สุดแห่ง“เยาวราช”

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 กุมภาพันธ์ 2548 19:12 น.

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง


“เยาวราช”หรือไชน่าทาวน์เมืองไทยนับเป็นย่านคนจีนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย

9 ก.พ. พ.ศ. 2548 นี้ เป็นวันปีใหม่ (จีน) หรือ “วันตรุษจีน” คนต่างจังหวัดไทยแท้อย่างฉัน แม้ว่าจะไม่รู้ลึกซึ้งถึงเทศกาลตรุษจีน แต่หากว่าพูดถึงย่านคนจีนในเมืองไทยฉันว่าคงไม่มีที่ไหนโด่งดังและมีมนต์ขลังแห่งความเป็นจีนเท่าที่ “เยาวราช” หรือ “ไชน่าทาวน์เมืองไทย”

การเขียนอักษรจีนที่เยาวราชพบเห็นได้ทั่วไปยิ่งช่วงเทศกาลตรุษจีนจะยิ่งพบมากเป็นพิเศษ

สำหรับตรุษจีนปีนี้ ฉันนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากไปเดินชมความเป็นจีนที่ย่านเยาวราชสักหน่อย แต่ครั้นจะไปเดินดุ่มๆคนเดียวโด่ๆ คงมีหวังหลงไปกับอาหารการกินที่เยาวราชจนอดเดินดูของสวยๆงามและสิ่งที่น่าสนใจในย่านนี้เป็นแน่แท้

งานนี้เพื่อความชัวร์ฉันจึงชวนพี่ “เจริญ ตันมหาพราน”กูรูเยาวราช ให้ไปเป็นไกด์กิตติมาศักดิ์ พาซอกแซกชมสิ่งที่น่าสนใจต่างๆในย่านเยาวราช ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลปวัฒนธรรมแบบจีนๆ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีน วัดวาอาราม ศาลเจ้าต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย รวมไปถึงของกินของใช้ที่เกี่ยวกับคนจีนๆที่มีขายอยู่เต็มพรึ่ดไปหมด

แต่ก็อย่างว่าย่านเยาวราชนับเป็นย่านที่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ฉันจึงได้คัดเอา 8 ที่สุดแห่งย่านเยาวราชมากำนัลแด่คุณผู้อ่านในเทศกาลตรุษจีนปีไก่นี้ ซึ่งก็มีทั้งที่สุดในย่านเยาวราช ในกรุงเทพฯ ในเมืองไทยรวมถึงที่สุดในโลกด้วย ส่วนที่เลือกมาแค่ 8 ที่สุด ก็เพราะว่าถือเคล็ดตามความเชื่อของคนจีนที่ชอบเลข 8 นั่นเอง โดยเลขนี้ถือเป็นเลขดีที่สื่อความหมายถึงความ ร่ำรวย มั่งคั่ง

สำหรับที่สุดแห่งเยาวราชอันดับแรกฉันขอเริ่มจากเรื่องที่คนส่วนใหญ่รู้กันดีนั่นก็คือ เยาวราชเป็นย่านคนจีน(ไทยเชื้อสายจีน)ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย(1) เรื่องนี้ไม่ขออธิบายกันมากแต่ว่าหากอยากสัมผัสกับบรรยากาศแบบจีนๆ ไปเดินเยาวราชรับรองไม่ผิดหวัง เพราะไม่ว่าจะเดินเข้าไปในตรอก ซอกซอยไหนของเยาวราช ก็จะเห็นอาแป๊ะ อาม่า อากง อาอึ้ม อาหมวย อาตี๋ เต็มไปหมด สมดังฉายาไชน่าทาวน์เมืองไทย

ห้างทอง “ตั้งโต๊ะกัง” ร้านทองเก่าแก่ที่สุดในเยาวราช

และด้วยความที่มีคนจีนอยู่มาก แน่ละพวกเขาก็ต้องพูดภาษาจีนกันมากตามไปด้วย ฉันก็เลยยกให้เป็นที่ที่มีการใช้ภาษาจีนมากที่สุดในเมืองไทย(2) เพราะเป็นภาษาที่เขาใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน ซึ่งฉันว่าภาษาจีนก็เป็นภาษาที่น่าสนใจ และเดี๋ยวนี้ผู้คนหันมาให้ความสนใจเรียนภาษาจีนกันเยอะขึ้น รวมถึงตามร้านรวงต่างๆที่มีป้ายภาษาจีนติดปะปนกับภาษาไทย(และอังกฤษบ้าง)อยู่ทั่วแดนเยาวราช นอกจากนี้ผู้ที่ต้องการซื้อหนังสือภาษาจีน เพลงจีน หรือหนังจีนที่เยาวราชก็มีขายอยู่ทั่วไป ใครที่สนใจก็ไปเลือกซื้อหากันได้ สำหรับช่วงตรุษจีนอย่างนี้หากใครไปเดินเยาวราชก็จะเห็นภาพคนมารับจ้างเขียนอักษรจีนอยู่ทั่วไป

เรื่องที่สุดต่อมา ฉันยกให้เยาวราชเป็นย่านที่มีร้านทองมากที่สุดในเมืองไทย(3)เท่าที่รู้ข้อมูลมาก็มีตั้ง 132 ร้าน ตั้งอยู่ริมสองฝากถนนเต็มไปหมด บางคนถึงกับเรียกขานว่า “ถนนสายทองคำ”



วัดบำเพ็ญจีนพรต วัดที่เล็กที่สุดในเยาวราช

นอกจากจะมีร้านทองเยอะที่สุดแล้วก็ยังมีร้านทองที่เก่าแก่ที่สุดในย่านเยาวราช(4)คือ “ห้างทองตั้ง โต๊ะ กัง” ตั้งอยู่ตรงปากซอยวานิช ถ.มังกร มีอายุกว่า 130 ปี ร้านทองร้านนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัย ร.5 โดยผู้ก่อตั้งคือ นายโต๊ะกัง แซ่ตั้ง ลักษณะของร้านเป็นอาคารทรงโบราณ 7 ชั้นดูสวยงาม ปัจจุบันยังดำเนินกิจการขายทองอยู่ที่ชั้น 1 ส่วนชั้นบนของร้านจัดเป็นพิพิธภัณฑ์รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับการทำทองให้ผู้ที่สนใจสามารถไปดูกันได้

จากถนนที่มีร้านทองมากที่สุด เปลี่ยนไปดูถนนที่สั้นที่สุดในกรุงเทพฯ(5)กันบ้าง ถนนนี้มีชื่อว่า“ถนนทรงเสริม” อยู่ตรงแยกถนนทรงวาดกับท่าน้ำสวัสดี มีความยาวเพียง 60 เมตรเท่านั้นเอง สั้นจริงๆสั้นยิ่งกว่าถนนในบ้านของเศรษฐีบางคนเสียอีก

ส่วนเรื่องที่สุดแห่งเยาวราช 2 เรื่องนี้ อยู่ที่ในวัดโดย “วัดบำเพ็ญจีนพรต” (ย่ง ฮก ยี่) เป็นวัดที่เล็กที่สุดที่อยู่ในเยาวราช (6) วัดนี้ตั้งอยู่ในตรอกเต๊า มีพื้นที่แค่เพียงตึกแถวห้องเดียวห้องเล็กๆ เป็นวัดจีนที่ยังมีพระภิกษุจีนจำพรรษาอยู่ ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจโดดเด่นอย่างพระอรหันต์ 18 องค์ ที่ทำด้วยกระดาษเปเปอร์มาเช่ ฉันเห็นแล้วอึ้งปากค้าง เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นพระกระดาษที่นี่เป็นครั้งแรก


หลวงพ่อสุโขทัยไตรมิตร พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

อีกหนึ่งที่สุดในเรื่องของวัด ฉันยกให้วัดนี้ “วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร” ที่วัดแห่งนี้มีความเป็นที่สุดอยู่ตรงที่มีพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก (7) คือ "หลวงพ่อสุโขทัยไตรมิตร" ที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปทองคำที่มีส่วนผสมของทองคำสูงมาก มีขนาดหน้าตักกว้าง 6 ศอก 5 นิ้ว สูง 7 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว องค์พระเหลืองอร่ามงดงามจับจิตจับใจผู้ที่ได้มายล

เมื่อเยาวราชมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นย่านทำเลทอง(ทำเลมังกรทอง)ที่มีฮวงจุ้ยหรือชัยภูมิเหมาะแก่การทำการค้าพานิชย์เป็นอย่างมาก ซึ่งก็ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2547 ราคาที่ดินในเยาวราชพุ่งขึ้นมาแพงที่สุดในเมืองไทย(8) โดยตกอยู่ที่ ราคา 650,000 บาทต่อตารางวา (อันดับ 2 สีลม 500,000 บาท/ตร.วา อันดับ 3 สยามเซนเตอร์ 450,000 บาท/ตร.วา)

สำหรับคนธรรมดาอย่างฉันหรือคนทั่วไป ที่แม้ว่าจะไม่มีปัญญาซื้อที่ดินที่เยาวราช แต่ว่าก็สามารถไปสัมผัสกับบรรยากาศความเป็นจีนที่เยาวราชได้ โดยในวันที่ 9-10 ก.พ.นี้ที่เยาวราชจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองตรุษจีนอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งใครที่สนใจก็ไปร่วมงานกันได้ และถ้าจะให้ดีหากใส่เสื้อสีแดงไปก็จะมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลต่างๆมากมาย สุดท้ายนี้ก็ฉันขอกล่าวคำว่า“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” รับวันตรุษจีนที่จะมาถึงในวันที่ 9 ก.พ.นี้

สำหรับใครที่อยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเยาวราชสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เขตสัมพันธวงศ์ โทร. 0-2234-3460 ส่วนหากอยากรู้รายละเอียดงานตรุษจีนเยาวราชปีนี้สามารถติดต่อได้ที่ กองส่งเสริมกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร. 0-2250-5500 ต่อ 3495-3499

http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9480000019181

ยลเสน่ห์ย่านเยาวราช ย่ำแดนมังกรกลางกรุง

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 15 พฤษภาคม 2550 16:57 น.

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง



ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา หลักชัยของเยาวราช

ภาพของถนนสายไม่ใหญ่โตนัก สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนและร้านอาหารหลากหลายชนิด บนพื้นถนนเต็มไปด้วยรถราวิ่งกันขวักไขว่ ส่วนด้านบนตึกรามบ้านช่องก็ดูรุงรังไปด้วยป้ายชื่อร้านรวงต่างๆ ที่เป็นภาษาจีนเบียดเสียดกันอยู่จนแทบไม่รู้ว่านี่คือเมืองไทย สิ่งเหล่านี้คือภาพที่ฉันจะนึกถึงเสมอเมื่อพูดถึงย่าน "เยาวราช"

ภาพที่ว่านั้นก็เป็นภาพของถนนสายเยาวราช ถนนแห่งมังกร ซึ่งถ้าใครได้ไปเห็นมาก็ต้องบอกว่าเป็นอย่างที่ฉันบอกจริงๆ แต่สิ่งเหล่านั้นก็นับเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนให้ไปเยี่ยมเยียนเยาวราชกันอยู่บ่อยๆ

เมื่อเร็วๆ นี้ฉันก็ได้ไปเที่ยวย่านเยาวราชมาเช่นกัน เพราะทางกรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยมหิดล และทางชุมชนเยาวราชเขาจัดโครงการชุมชนท่องเที่ยวยั่งยืน ย่านเยาวราชขึ้น แต่การมาเยาวราชคราวนี้ฉันไม่ได้มุ่งตรงมาแค่ที่ถนนเยาวราช ซึ่งถือว่าเป็นถนนสายมังกรเท่านั้น แต่ฉันได้ไปเที่ยวชมย่านเยาวราชรอบนอก รวมทั้งได้รู้รายละเอียดสิ่งละอันพันละน้อยในย่านเยาวราชซึ่งถือว่ามีความเก่าแก่ในด้านประวัติศาสตร์ ไม่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน แต่มีเสน่ห์ไม่น้อย มาคราวนี้ฉันได้ไกด์นำเที่ยวเป็นกูรูเยาวราชถึงสองคน คือคุณเจริญ ตันมหาพราน กับคุณปัญญภัทร เลิศสำราญเริงรมย์ ผู้ที่เกิดและเติบโตอยู่ในย่านเยาวราชเป็นคนพาไปรู้จักกับเยาวราชรอบนอก

ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาตลาดน้อย สวยงามเป็นเอกลักษณ์

จุดเริ่มต้นของเราอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย ใกล้กับสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ ธนาคารแห่งนี้เป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่คนไทยเป็นเจ้าของ หรือหากจะเรียกชื่อดั้งเดิมก็ต้องเรียกว่า แบงค์สยามกัมมาจล ที่นี่นอกจากจะมีความเป็นมาที่เก่าแก่แล้ว อาคารที่เป็นที่ทำการธนาคารก็ยังได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่นอีกด้วย หากใครมีโอกาสได้นั่งเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านมาแถวนี้ก็คงจะได้เห็นตึกทรงยุโรปสถาปัตยกรรมแบบบาร็อค อิตาเลียนที่งดงามอยู่ริมแม่น้ำ เคียงคู่อยู่กับโบสถ์กาลหว่า หรือโบสถ์แม่พระลูกประคำ โบสถ์คริสต์สถาปัตยกรรมแบบกอธิค หน้าต่างประดับด้วยกระจกสีเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์สวยงามมาก

จากธนาคารไทยพาณิชย์และโบสถ์กาลหว่าร์ ฉันเลี้ยวซ้ายออกมายังถนนเจริญกรุง ถนนที่ตัดขึ้นด้วยวิทยาการแบบตะวันตกเป็นสายแรกๆ ในประเทศไทย และบนถนนเจริญกรุงนี้ จุดแรกที่จะผ่านก็คือวัดอุภัยราชบำรุงหรือวัดญวนตลาดน้อย วัดแบบจีนที่สร้างโดยชาวญวนอพยพในสมัยรัชกาลที่ 1 ส่วนชื่อวัดอุภัยราชบำรุงนั้น แปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ วัดที่ได้รับการทำนุบำรุงจากกษัตริย์สองพระองค์ นั่นก็คือรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 อีกทั้งบริเวณหน้าวัดยังมีต้นโพธิ์ลังกาที่รัชกาลที่ 5 ทรงปลูกไว้อีกด้วย

และบริเวณถนนหน้าวัดนั้น ถ้ามองให้ดีๆ ก็จะสังเกตเห็นแนวเส้นเหมือนกับรางรถไฟอยู่บนถนนที่แนวคอนกรีตที่กร่อนลงไป ซึ่งนั่นก็คือรางของรถรางที่วิ่งให้บริการในอดีต รถรางสายนี้เป็นรถรางสายสีเหลือง หรือที่เรียกว่าสายถนนตก เส้นทางการวิ่งก็จะตั้งต้นจากบริเวณด้านข้างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองผ่านมาทางพระบรมมหาราชวัง วิ่งผ่านวัดราชบพิตรเข้าสู่ถนนเจริญกรุง

มัสยิดหลวงโกชาอิศหาก มัสยิดเก่าแก่สมัย ร.5

เรื่องตลกของรถรางที่ฉันเพิ่งเคยรู้ก็คือ ในตอนแรกนั้นรถรางจะใช้ม้าในการขับเคลื่อนลากจูงไป ว่ากันว่ามันช้ามาก รถรางหยุดให้คนกินข้าวบ้าง ให้ม้ากินหญ้าบ้างกว่าจะถึงถนนตกก็บ่ายแก่ๆ หรือถึงช่วงเย็น และอัตราค่าโดยสารก็แพงมากในสมัยนั้นจึงไม่ค่อยได้รับความนิยม ต่อมาบริษัทของชาวเดนมาร์กได้สัมปทานรถรางนี้ไป และได้ปรับปรุงให้รถรางใช้กำลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแทน จึงถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีรถรางไฟฟ้าใช้ แต่ตอนแรกๆนั้นคนไทยก็ยังไม่กล้าขึ้นรถรางนี้ เพราะกลัวจะถูกไฟช็อต พวกฝรั่งจึงต้องทดลองนั่งให้เห็นว่าปลอดภัยเสียหลายวันกว่าจะมีคนยอมนั่ง

เดินทางต่อไปยังพื้นที่ที่เรียกว่าเป็นเซียงกง เป็นย่านขายอะไหล่เครื่องจักรกลเก่ามีชื่อเสียงของเยาวราช ชื่อเสียงที่ว่านั้นก็โด่งดังขนาดที่คำว่าเซียงกงกลายเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายว่าหมายถึงที่ที่ขายเศษเหล็กขายเครื่องจักรกลเก่า แม้จะอยู่ในพื้นที่อื่นๆ ก็ยังใช้ชื่อว่าเซียงกงตามเซียงกงแต่ดั้งเดิมของเยาวราช อีกทั้งในย่านนี้ก็ยังมีศาลเจ้าชื่อเดียวกัน ก็คือศาลเจ้าเซียงกง ซึ่งประดิษฐานเทพประทานซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนเทพารักษ์ของจีน คอยปกปักรักษาชาวบ้านในย่านนี้ด้วย

ไม่ไกลจากเซียงกงนัก เป็นที่ตั้งของวัดปทุมคงคา หรือวัดสำเพ็ง วัดโบราณในสมัยอยุธยา และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงรัชกาลที่ 1 โดยกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้าในรัชกาลที่ 1 ซึ่งพระองค์ได้บูรณะวัดนี้ขึ้นเพื่อที่จะเฉลิมพระเกียรติของพระบรมชนก ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยนามว่าพระพุทธมหาชนกประดิษฐานอยู่

ร่องรอยของรางรถรางเก่าที่บนถนนเจริญกรุง

ออกจากวัดปทุมคงคามาแล้ว ฉันอยากให้มองไปฝั่งตรงข้ามวัดเสียหน่อย เพราะมีร้านเก่าแก่น่าสนใจที่ชื่อว่าร้านซุ้ยล้ง ซึ่งเป็นร้านที่ประกอบอาชีพการทำถังโบราณมาหลาย 10 ปีแล้วในอดีตถังไม้เหล่านี้จะมีความสำคัญมากกับชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ใช้ในการหมักน้ำปลา ดองอาหารต่างๆ รวมถึงการใช้ใส่สิ่งของอื่นๆ ก็ได้ แต่ปัจจุบันจะมีถังโลหะ ถังพลาสติกเข้ามา แต่ลูกค้าที่ยังคงซื้อถังไม้เหล่านี้อยู่ก็คือธุรกิจสปาทั้งหลาย

และในย่านนี้ก็ยังมีถนนที่สั้นที่สุดในกรุงเทพฯ อีกด้วย ซึ่งก็คือถนนทรงเสริม ซึ่งสุดถนนจะเป็นท่าเรือข้ามฟากเล็กๆ ไปยังคลองสาน แต่ในอดีตที่รุ่งเรืองนั้นท่าเรือนี้เคยเป็นท่าเรือเดินทะเลน้ำลึกมาก่อน แน่นอนว่าก็ต้องเป็นเรือสินค้ามาจากประเทศจีน แถวนี้จึงต้องมีการขนส่งสินค้าอยู่ตลอดเวลา ตึกแถวโบราณที่ตั้งขนานกับแม่น้ำส่วนใหญ่นี้จึงมักมีโกดังอยู่ด้านหลังเพื่อเก็บสินค้า ก่อนที่จะกระจายไปขายยังที่ต่างๆ ซึ่งตึกแถวเหล่านี้สวยงามมากเลยทีเดียว

เลยไปอีกหน่อยหนึ่งบนถนนทรงวาด เป็นที่ตั้งของมัสยิดหลวงโกชาอิศหาก มัสยิดเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นแห่งเดียวในชุมชนเยาวราช ทุกวันศุกร์ตอนเที่ยงซึ่งเป็นวันละหมาดใหญ่ก็จะมีชาวมุสลิมในย่านนี้เดินทางมาละหมาดกันอย่างพร้อมเพรียง

จากจุดนี้เราย้อนกลับมายังถนนเยาวราชบริเวณที่เป็นจุดบรรจบกับถนนเจริญกรุงหรือตรงวงเวียนโอเดียน ซึ่งถือเป็นส่วนหัวมังกร และมีสัญลักษณ์สำคัญคือซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเหมือนหลักชัยของย่านเยาวราช ซุ้มประตูนี้เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐและประชาชนในย่านเยาวราชสละทุนทรัพย์ในการสร้างซุ้มประตูนี้ขึ้นเพื่อเป็นการถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถือเป็นการรวมความสามัคคีกันของชาวจีนในเยาวราชอีกด้วย

ร้านทำถังไม้ที่หาได้ยากในตอนนี้

เหตุที่เรียกบริเวณนี้ว่าวงเวียนโอเดียนนี้ก็เพราะแต่เดิมมีโรงภาพยนตร์โอเดียนตั้งอยู่ แต่ที่เรียกว่าเป็นจุดสำคัญอีกแห่งหนึ่งในบริเวณนี้ก็คือวัดไตรมิตรวิทยาราม วัดที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนมากมายทุกวันเพราะมีพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร พระพุทธรูปทองคำอันล้ำค่า และในขณะนี้ก็กำลังจะสร้างพระมหามณฑปเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นี้ ดังนั้นจึงต้องมีการรื้อตึกแถวด้านหน้าทั้งแถบออกเพื่อเป็นการเปิดภูมิทัศน์ให้เห็นพระมหามณฑปได้ชัดเจนและสมเกียรติกับพระพุทธรูปทองคำซึ่งเป็นศิลปะตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งประมาณค่าไม่ได้และถือว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย แต่ต้องไว้อาลัยให้แก่ตึกแถวในแถบนี้ด้วย

ส่วนฝั่งตรงข้ามกับวัดไตรมิตรฯ ก็เป็นสถานที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือมูลนิธิเทียนฟ้า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของชาวจีนแต่ปัจจุบันเรารู้จักกันในชื่อของศาลเจ้าแม่กวนอิมองค์ทอง ที่มาของมูลนิธิเทียนฟ้านี้ก็เริ่มขึ้นหลังจากที่ชาวไทยเชื้อสายจีนทั้ง 5 ภาษาไม่ว่าจะเป็น กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน จีนแคะ ไหหลำ และแต้จิ๋ว เข้ามาประกอบอาชีพจนมีฐานะร่ำรวยแล้วอยากจะตอบแทนสังคมด้วยการสร้างโรงพยาบาลขึ้น เพราะชาวจีนในยุคนั้นที่ไม่ถนัดกับการไปรักษากับโรงพยาบาลของรัฐ เป็นวิทยาการแบบตะวันตกที่ชาวจีนไม่คุ้นเคย

เดินกันเสียเพลินจนตอนนี้เข้ามาอยู่ในบริเวณท้องมังกรที่ถือเป็นศูนย์กลางของเยาวราชกันแล้ว ถนนเส้นนี้คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก แต่ต้องมาเดินดูเองให้ได้บรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็นสารพัดร้านทอง สารพัดของกิน สารพัดชุดจีน และเครื่องตกแต่งแบบจีนๆ ทั้งหลาย แต่ฉันอยากจะชี้ชวนดูจุดเล็กๆ ที่ถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรถรางให้ดูสักเล็กน้อย นั่นก็คือป้ายหยุดรถรางที่ตอนนี้เหลืออยู่เพียงจุดเดียวในเยาวราช หน้าเวิ้งนาครเขษม เป็นป้ายสามเหลี่ยมสีแดงมีดาวตรงกลาง ป้ายนี้ติดอยู่ตรงชายคาของตึกแถว ผ่านสายตาของคนมากมาย แต่ก็คงมีหลายคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของป้ายนี้

ตึกแถวหน้าวัดไตรมิตรฯ ที่จะต้องถูกรื้อลงเร็วๆ นี้

จากถนนเยาวราช ฉันออกจากหางมังกรแล้วย้อนกลับมาเข้าถนนเจริญกรุงอีกฟากหนึ่ง ในถนนเจริญกรุงนี้เราจะได้เห็นเยาวราชในอีกวิถีชีวิตหนึ่ง ฝั่งเยาวราชจะเห็นร้านค้าทองขนาดใหญ่ อาคารขนาดใหญ่ ร้านขายของกินขนาดใหญ่ แต่เจริญกรุงนั้นยังคงจะพอมองเห็นภาพเสื่อผืนหมอนใบอยู่บ้าง เรายังเห็นคนจีนโพ้นทะเลเดินทางจากเมืองจีน เอาสินค้าเข้ามาขาย และพักอยู่ตามโรงแรมเล็กๆ ในย่านนี้ เมื่อขายของพอเก็บเงินได้ก็จะบินกลับไปเอาสินค้ามาขายอีก

ในด้านถนนเจริญกรุงนี้มีวัดจีนสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือวัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ วัดจีนที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปและเทพเจ้าต่างๆ ที่เป็นที่เคารพของชาวจีน

แม้เขตสัมพันธวงศ์หรือย่านเยาวราชนี้จะเป็นเขตที่มีขนาดเล็กที่สุดในกรุงเทพฯ แต่ฉันว่ามันก็ยังกว้างเกินกว่าจะเดินได้ทั่ว สิ่งที่น่าสนใจในย่านเยาวราชที่ฉันเสนอมาในวันนี้เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะโครงการที่จัดทำขึ้นมานี้เขายังได้จัดเส้นทางเดินเท้าเยาวราชออกเป็นอีก 6 เส้นทางด้วยกัน โดยมีเส้นทาง “สำเภาเทียบท่า ชุมชนค้าก่อเกิด” เส้นทางที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับการค้าและวิถีชีวิตของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย เส้นทาง “ศรัทธาวิถี” เส้นทางที่รวมเอาศาสนสถานของคนหลากหลายเชื้อชาติมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวไทย ชาวจีน ชาวคริสต์ ชาวอิสลาม และชาวญวน

เส้นทาง “เสน่ห์ย่านค้าเก่าเยาวราช” จุดเริ่มต้นของชีวิตชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจนสามารถก่อร่างสร้างตัวเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ได้ เส้นทาง “ชีพจรมังกร” เส้นทางธุรกิจที่รุ่งเรืองของกรุงเทพ “ร้านรวงริมถนน” สีสันการค้าห้องแถวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และสุดท้ายคือ เส้นทาง “สารพัดแหล่งช้อปปิ้ง” ย่านที่มีสรรพสินค้าแห่งแรกเกิดขึ้นก็ที่เยาวราชแห่งนี้

หากใครสนใจเส้นทางเหล่านี้ก็สามารถเข้าไปขอแผ่นพับแผนที่ได้ที่กองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร แล้วก็เอาสองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าเดินท่องเยาวราชกันได้เลย

ผู้ที่สนใจเส้นทางท่องเที่ยวเยาวราชสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร โทร.0-2225-7612 ถึง 4

http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000055630

ไม่มีความคิดเห็น: