2.2.51

การแพทย์ชีวโมเลกุล เซลล์ซ่อมเซลล์


โฟโตออกซิเดชั่น PHOTO OXIDATION

โฟโตออกซิเดชั่น แปลว่าการผสมผสานทางกายภาพกับกาซออกซิเจนโดยใช้แสง ในแง่ของการรักษาโรค เรารู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า Ultraviolet Blood Irradiation คือ การใช้แสงยูวีอาบเลือดเพื่อรักษาโรค ขบวนการรักษาชนิดนี้ ประกอบไปด้วยการใช้เข็มเจาะเลือดออกจากหลอดเลือดดำจำนวนประมาณ 60 ซีซี ลงในขวดแก้วสุญญากาศที่มีสารกันเลือดแข็งตัว แล้วนำเลือดนั้นมาผ่านท่อที่มีแสงยูวีและออกซิเจนสูง ในเวลาสั้นๆ จากนั้นก็นำเลือดดังกล่าวหยดกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้เป็นการรักษาที่ปลอดภัยไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียงใดๆ อย่างเด็ดขาด ผลการรักษาอยู่ได้นาน และสามารถใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นๆ ได้อย่างสะดวก

การรักษาด้วยโฟโตออกซิเดชั่น สนับสนุนขบวนการซ่อมแซมทางชีวภาพของร่างกาย การใช้แสงยูวีอาบไปที่เลือดในภาวะที่มีออกซิเจน จะทำให้เกิดผลลัพท์ทางโฟโตเคมีที่ดีต่อร่างกายต่อไปนี้

ช่วยการไหลเวียนของระบบเลือดฝอย และเพิ่มออกซิเจนให้กับเนื้อเยื่อ

ด้านการอักเสบ

กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

เพิ่มระดับความทนทานของร่างกายต่อการฉายแสงและเคมีบำบัด

เพิ่มขบวนการย่อยสบาย โคเลสเตอรอล, กรดยูริค, และน้ำตาลในเลือดมีผลดีในการปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือด

สามารถแก้ไขปัญหาหลอดเลือดหดตัว (Vascular Spasm) ได้

ต่อต้านการติดเชื้อในร่างกาย อย่างทรงประสิทธิภาพ

การรักษาด้วยโฟโตออกซิเดชั่น มีประวัติเริ่มต้นใช้กับมนุษย์ครั้งแรกในปี 1928 ที่ประเทศเยอรมัน ในการรักษาผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งซึ่งกำลังจะตายด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง แต่สามารถหายในภายในสองวัน

การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อในปัจจุบัน ก่อให้เกิดเชื้อที่ดื้อยาแรงๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันพบเชื้อไว้รัสกลายพันธ์ใหม่ๆ ทุกๆ สิบปี เป็นเหตุให้โฟโตออกซิเดชั่นมีความจำเป็นและสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ มีงานวิจัยทางการแพทย์ทั้งในเยอรมันและอเมริกาเกี่ยวกับโฟโตออกซิเดชั่นออกมามากขึ้น และสามารถหาอ่านได้ง่ายขึ้น

ข้อบ่งใช้การรักษาโดยโฟโตออกซิเดชั่น

เมื่อผู้ป่วยเริ่มจะมีภาวะไม่ตอบสนองต่อการรักษาที่ให้ไปอย่างเต็มที่แล้ว พบว่าโฟโตออกซิเดชั่นจะช่วยให้ผู้ป่วยเช่นนั้นดีขึ้นต่อไปได้อีก ข้อบ่งใช้สำหรับโฟโตออกซิเดชั่นได้แก่

การติดเชื้อทุกประเภท ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา พยาธิ

ภาวะพิษทุกชนิด ทั้งจากพิษงูกัด หรือพิษจากสารเคมีต่างๆ

อาการบาดเจ็บ

การสมานแผล

แผลจากการไหลเวียนเลือดไม่ดี

Raynaud’s disease

ไมเกรน

โรคข้ออักเสบ

โรคปวดตามกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น (fibromyalgia)

โรคกระดูกพรุนที่มีการเจ็บปวด

โรคจอตาเสื่อมจากเบาหวาน

โรคประสาทตาเสื่อม (Macular degeneration)

หอบหืด (Asthma)

สิวรุนแรง

เริม (Herpes Zoster)

เรื้อนกวาง (Psoriasis)

โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

โรคหลอดเลือดแดงอุดตัน รวมถึง Stroke

โรคลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosis or increase in blood coagulability)

โรคผนังหลอดเลือดดำอักเสบ (Thrombophlebitis)

การล้างพิษโดยทั่วไป (General Detoxification)

ผลทางชีวภาพของการรักษาโดยโฟโตออกซิเดชั่น

พบว่าภายหลังจากการทำโฟโตออกซิเดชั่นจะเกิดผลดังต่อไปนี้ คือ ระดับออกซิเจนในเลือดดำและเลือดแดงสูงขึ้น ความเป็นกรดต่างของเลือดสูงขึ้น เม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยท์สูงขึ้น เม็ดเลือดแดงมีภาวะทางประจุไฟฟ้าสูงขึ้น ความสามารถในการทำลายเชื้อโรคของเลือดสูงขึ้น ฮีโมโกลบินสูงขึ้น จำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดสูงขึ้น ความสามารถในการกินสิ่งปลอมปนของเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น Cholesterol ในเลือดลดลง Creatinine ในเลือดลดลง กรด lectate ในเลือดลดลง กรดยูริคลดลง ระดับไฟบรินในเลือดลด ปรับสมดุลของภาวะภูมิคุ้นกันระดับน้ำตาลในเลือด

ความบ่อยในการรักษา

ในภาวะติดเชื้อเฉียบพลัน สามารถให้การักษาวันละครั้งหรือทุกๆ วันเว้นวันจนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือจนกว่าจะสามารถควบคุมการติดเชื้อได้

ภาวะเรื้อรังต่างๆ รักษาด้วยระยะที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปคือสัปดาห์ละสองครั้งติดต่อกันสามสัปดาห์ หลังจากนั้นสัปดาห์ละครั้งอีกสี่สัปดาห์ แล้วค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนถึงทุกๆ สองเดือนครั้ง ในผู้ป่วยเรื้อรังบางรายสามารถให้ต่อไปได้ทุกสองเดือนครั้ง

ข้อห้ามใช้

ผู้ป่วยโรค Porphyria ผู้ที่แพ้แสงอาทิตย์ โรคเลือดออกจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น ฮีโมฟิลเลีย, โรคธัยรอยด์เป็นพิษ, โรคถุงน้ำดีอักเสบ, กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

การปฏิบัติตนหลังจากการรักษาด้วยโฟโตออกซิเดชั่น

1. ดื่มน้ำสะอาดจำนวน 8 แก้วภายใน 24 ชั่วโมงหลังการรักษา เพื่อช่วยให้ร่างกายกำจัดสารพิษซึ่งถูกออกซิไดซ์ (ทำลาย) โดย Singlet oxigen สารพิษที่ออกซิไดซ์แล้ว จะถูกกำจัดออกทางไต

2. หลีกเลี่ยงการใช้สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant Supplement) หลังจากรักษา 24 ชั่วโมง เช่น วิตะมิน A,C,E, Selenium, glutathione, pycnogenols เป็นต้น เพราะจะไปบดบังประสิทธิภาพของ Singlet Oxigen ในโฟโตออกซิเดชั่น

3. เพื่อการกำจัดของเสียอย่างเต็มประสิทธิภาพ ระหว่างการรักษาต้องมั่นใจว่า ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารมีกากใย อาจใช้ยาระบายสมุนไพร เป็นครั้งๆ เช่นใบมะขามแขก เพื่อไม่ให้มีกากอาหารตกค้างในลำไส้

4. สามารถกินเอนไซม์และแร่ธาตุเสริมได้ เพื่อกระตุ้นขบวนการกำจัดสารพิษในร่างกายให้ดีขึ้น

หลังการรักษาจะเกิดอาการอะไรได้บ้าง

ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกดีขึ้นทันทีหลังการรักษา ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกว่าตนเองแย่ลง จากนั้นจึงค่อยดีขึ้นกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เพราะการออกซิไดซ์พิษในร่างกาย (ซึ่งรวมไปถึงการติดเชื้อ) ในขบวนการกำจัดพิษ จะสามารถทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย ไข้ ตัวสั่น และมีอาการคล้ายไข้หวัด โดยทั่วไปอาการจะเป็นมากในคืนแรกของการรักษาแล้วจะเริ่มดีขึ้น ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น Chronic fatique syndrome, candida, multiple sensitivties กว่าที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจต้องหลังจากให้การรักษาไปแล้วอย่างน้อย 4 สัปดาห์
______________________________
Contact Biomolecular Therapy Center :
Tel. +66-2-8740981 to 5, +66-2-4271118
Fax. +66-2-4284312
e-mail: info@biotherapycenter.com

http://www.biotherapycenter.com/

ไม่มีความคิดเห็น: